วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่9: เหตุการณ์ที่ไม่มีใครรับรู้?

ตอนที่9: เหตุการณ์ที่ไม่มีใครรับรู้?

                 
“เอาล่ะครับต่อไปจะเป็นการเดินโชว์ตัวของผู้เข้าประกวดทั้งหมด 12 คู่ จากทั้งหมด 12 ห้องเรียนครับ แล้วรายการหลังจากนั้นจะเป็นการประกาศเกณฑ์การตัดสินครับ” พิธีกรประจำเวทีการประกวดกล่าวกับผู้ชมอย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เชิญทุกท่านร่วมยลโฉมผู้เข้าประกวดกัน ณ บัดนี้ครับ!!!” พิธีกรหนุ่มผายมือไปทางอีกฟากหนึ่งของเวที ก่อนคนเองจะค่อยๆเขยิบออกมา

เสียงดนตรีดังขึ้นเป็นจังหวะฟังดูชวนตื่นเต้น พลอยให้ลุ้นระทึกว่าเมื่อไหร่ผู้เข้าประกวดจะเดินออกมา พร้อมๆกับการปรากฎตัวของผู้สมัครคู่แรก 

แต่ก่อนที่บรรดาผู้เข้าชมจะมีโอกาสได้ยลโฉมผู้เข้าประกวดสมใจ ก็บังเกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง หร้อมๆกับเสียงดังเปรี้ยงที่บ่งบอกว่าได้มีฟ้าผ่าลงมา ไม่กี่อึดใจต่อมาหอประชุมที่เคยสว่างไสวก็มืดลงทันตา

ทางทีมงานพยายามเดินเครื่องปั่นไปสำรอง แต่ก็โชคร้ายซ้ำอีกเมื่อเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่กลับอยู่ในสภาพเสียหายไม่สามารถใช้งานได้ ทีมงานทั้งหลายจึงจำใจต้องใช้เครื่องปั่นไฟขนาดเล็กปั่นไฟที่เพียงพอแค่ให้เครื่องขยายเสียงทำงานแทนไปก่อน

“ขอให้ทุกท่านกรุณาอยู่ในความสงบนะครับ เกิดเหตุขัดข้องกับอุปกรณ์ของเราเล็กน้อย ทางทีมเราจะรีบหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ดำเนินงานต่อไปได้อย่างแน่นอนครับ” นากาฮาระ พิธีกรประจำเวทีแห่งนี้กำลังพยายามกล่าวกับบรรดาเหล่าผู้เข้าชมให้อยู่ในอาการสงบ ก่อนจะหันไปสั่งทีมงานให้ดูแลผู้เข้าประกวดให้ดี แล้วจึงหันไปพูดคุยกะบรรดาผู้ชมต่อ ภายในใจก็ภาวนาขอให้เรื่องนี้แก้ไขได้โดยเร็ว


เสียงพึมพำของบทสวดที่ฟังชวนขนลุกดังออกมาจากห้องพยาบาลประจำโรงเรียน แต่ในเวลาที่โรงเรียนกำลังมีงานรื่นเริงอย่างนี้ จะมีสักกี่คนกันที่จะเดินมาถึงห้องพยาบาลที่อยู่คนละฟากกับสถานที่จัดงานแบบนี้

มองผ่านหน้าต่างด้านนอกจะเห็นผ้าม่านสีขาวสะอาดปลิวไสว ทั้งๆที่หน้าต่างไม่ได้เปิด แถมลักษณะการสะบัดยังผิดธรรมชาติอีกด้วย ราวกับว่าด้านในกำลังประสบกับลมพายุรุนแรงอย่างนั้น

เสียงพึมพำที่แสนยาวนานในที่สุดก็จบลง ภายในห้องที่มืดทึบนี้ สายลมโบกพัดรุนแรงราวกับไม่มีวันสิ้นสุด และได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พัดข้าวของต่างๆภายในห้องจนกระจัดกระจาย เสียงเสียดสีของสายลมที่ฟังราวกับเสียงกรีดร้อง

“ด้วยพิธีกรรมโบราณ บวกกับของบรรณาการทั้งหมดนี้ ฉันก็จะสามารถอัญเชิญราชาปีศาจออกมาทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริง ฮ่าๆๆ” คุจิยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไป ระหว่างที่พิธีกรรมกำลังดำเนิน

สายลมที่พัดอย่างรุนแรงมาเนิ่นนานอยู่ๆก็หยุดลง พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสีดำทมิฬ ที่มีผ้าคลุมขาดๆโสกโครกผืนหนึ่งคลุมเอาไว้

“เจ้ามนุษย์ เรียกข้ามามีอะไรอย่างนั้นหรือ” เสียงแหบแห้งบาดหูดังออกมาจากลำคอสีซีดที่โผล่พ้นผ้าคลุมขาดๆออกมา

“ท่านราชาปีศ่าจ...” คุจิเอ่ยแผ่วเบาด้วยความนอบน้อม แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ ปีศาจตนที่เขาเข้าใจว่าเป็นราชาปีศาจ ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ราชาปีศาจ อย่างข้าเนี่ยนะ ฮ่าๆ ข้ายังไม่ได้เท่าเศษขี้เล็บขององค์ราชาด้วยซ้ำ ฮ่าๆ”

“แล้วแกเป็นตัวอะไร” เมื่อปีศาจตรงหน้าไม่ใช่ตนที่เขาต้องการพบแล้ว ความนอบน้อมที่เคยมีก็หมดลง คุจิแผดเสียงตะคอกถาม

“ข้าก็เป็นพลเมืองบ้านๆคนหนึ่งของแดนปีศาจเท่านั้น ด้วยของอัญเชิญกับพิธีเล็กๆอย่างนี้อย่าว่าแต่ราชาปีศาจเลย แค่ทหารปีศาจยังไม่มีปัญญาจะเชิญได้เลย” ปิศาจตนนั้นกวาดตามองข้าวของที่ใช้อันเชิญ และพิธีกรรมด้วยท่าทีเหยียดหยาม ก่อนจะพูดต่อว่า

“เจ้าต้องการอะไรก็บอกๆมา ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน.......เดี๋ยวที่รักข้าจะโกรธเอา” แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนั้น เจ้าปีศาจเพียงแค่พึมพำกับตัวเองคนเดียวเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิว่า ต้องทำยังไงถึงจะอัญเชิญราชาปีศาจออกมาได้ ทำยังไงถึงจะได้มาซึ่งพลังอำนาจที่สามารถแก้แค้นมนุษย์ทุกคนได้” คุจิตะโกนก้อง ดวงตาที่แข็งก้าวจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่มีเกรงกลัวแม้แต่น้อย

เจ้าปีศาจเพียงแค่มองคุจิด้วยท่าทางเฉยๆ ไม่มีท่าทีหวั่นเกรง ที่รักของเขาตอนโกรธน่ากลัวกว่านี้เยอะ กะอีแค่มนุษย์ตัวเล็กๆมีอะไรที่เขาต้องกลัวกัน จะว่าไปก็รีบกลับดีกว่าเดี๋ยวที่รักจะโกรธเอา เอาเป็นว่าบอกวิธีอัญเชิญไปแล้วกันจะได้รีบๆกลับ


ห้ามบอกวีธีอัญเชิญเด็ดขาด อนุญาตให้ทำอะไรก็ได้เพื่อหยุดยั้งชายคนนั้น งดเว้นกฎหมายเรื่องการควบคุมดวงวิญญาณมนุษย์ชั่วคราว’ เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในหัวของเขา พร้อมกับความหนาวยะเยือกที่ไล่มาตามไขสันหลัง ชนชั้นสูง!!!


สิ่งเดียวที่เจ้าปีศาจรับรู้ตอนนี้คือ มีปีศาจที่ระดับสูงมากเพิ่งจะใช้ความสามารถที่เรียกได้ว่าหายากแสนยากของโลกปีศาจกับเขา แถมต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงมากด้วยถึงขนาดสามารถละเว้นเรื่องกฎหมายวิญญาณได้แล้วปีศาจตัวเล็กๆ?อย่างเขาจะขัดได้ยังไง

“เจ้าจะเอาความสามารถแสนน่าเบื่อแบบนั้นไปทำไม” คุจิกำลังจดจ่ออยู่กับถ้อยคำที่ปีศาจตรงหน้าเอ่ยออกมา จึงไม่ทันได้รู้สึกตัวว่า น้ำเสียงที่ปีศาจตนนั้นพูดออกมานั้นแปลกออกไป


“ก็จะเอาไปทำลายไอ้พวกโง่เง่าข้างนอกนั่นน่ะสิ” คุจิตะโกนใส่อย่างเดิดดาน เจ้าปีศาจงี่เง่านี่จะยึกยักอะไรนักหนา ไม่ยอมบอกมาสักที


“อ๋อ เจ้าอยากจะกำจัดพวกมนุษย์สินะ” เจ้าปีศาจถามอย่างหยั่งเชิง คุจิเพียงแค่พยักหน้ารับอย่าส่งๆ


“ถ้าแค่นั้นข้าก็ทำได้ไม่เห็นต้องถึงมือท่านราชาเลย..”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำเลยสิ! รีบกำจัดพวกมันไปให้พ้นๆสายตาฉันสักที พวกมันทั้งหนวกหู น่ารำคาญ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง!!!” คุจิตะโกนก้องอย่างเกรี้ยวกราดซึ่งปะปนด้วยความยินดี เขาจะได้ล้างแค้นแล้ว ล้างแค้นพวกงี่เง่าที่เอาความสุขสงบไปจากเขา


“เริ่มจากแถวๆนี้ก่อนแล้วกัน” ปีศาจตนนั้นทำท่าครุ่นคิด


“เอาเลย จะช้าอยู่ทำไม...” ก่อนที่คุจิจะทันได้พูดจบ มือหยาบกร้านของปีศาจตนนั้นก็พุ่งเข้าหาเขาทันที


“เจ้าเองก็เป็นมนุษย์เริ่มจากเจ้าก่อนแล้วกัน” ปีศาจตนนั้นพูดเพียงแค่นั้น ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะเลือนหายไปจากประสาทรับรู้ของเขา เขาไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ความแค้นของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทมันเพื่ออะไร! ก่อนสติสุดท้ายจะดับลงความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว อย่างน้อยเจ้าปีศาจนั่นก็จะฆ่าคนอื่นด้วย ถึงจะไม่ได้เห็นพวกมันดับศูนย์ด้วยตา แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ล้างแค้น ฮ่าๆๆ


ภาพสุดท้ายที่ก่อนที่สติของคุจิจะหลุดออกไปโดยสมบูรณ์นั้น เขาได้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ที่มีเส้นผมสีชา กับนั้นตาสีม่วงคู่คมทรงเสน่ห์ เดินออกมาจากเงามืดด้านหลังปีศาจที่ได้คร่าชีวิตของเขาไป


“อี๋ ข่างเป็นวิญญาณที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนี้ ขนาดวิญญาณยังมีแต่ความเคียดแค้น ความเกลียดชังเต็มไปหมด” ปีศาจตนนั้นพลิกดูวิญญาณที่เป็นเหมือนก้อนพลังงานก้อนกลม ที่เขาดึงออกมาจากร่างของมนุษย์ผู้อัญเชิญเขา


“ทำได้ดีมาก เข้าใจเรื่องกฎหมายวิญญาณอยู่เหมือนนี่ ตอนแรกข้าก็กังวลว่าเจ้าจะเข้าใจที่ข้าสื่อรึเปล่า” เสียงเสียงเดียงกับที่เคยดังในหัวของเขาดังมาจากข้างหลังเขา


เจ้าปีศาจค่อยๆหันศีรษะที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาดๆหันไปมองผู้มาใหม่ ด้วยรู้อยู่ในใจว่าปีศาจที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาจะต้องเป็นปีศาจระดับสูงอย่างแน่นอน เขาจึงเตรียมใจไว้แล้วแต่พอได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆเท่านั้น ขาที่เคยยืนอย่างมั่นคงก็ราวกับจะหมดแรงเอาดื้อๆ


องค์ชาย เสียงครางเบาๆดังออกจากลำคออย่างยากลำบาก ก่อนขาที่ดูเหมือนจะไม่มีแรงก็ทรุดลงกับพื้นทันที


ไซน์มองดูปีศาจระดับชาวบ้านที่มองเขาด้วยดวงตาหวั่นเกรง ดวงตาที่เป็นลูกไปพลิ้วไหวนั้นเกิดอาการหดเล็กลงทันทีที่รับรู้ว่าตนกำลังเผชิญกับใคร ราวกับกลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจหรืออย่างไรถึงได้รีบทรุดลงหมอบกับพื้น พร้อมกับละลักพูดออกมาทันที


“ข้าน้อยเป็นนักศึกษาวิญญาณขอรับ เลยพอจะมีความรู้เรื่องกฎหมายวิญญาณบ้าง ขะ...ข้าน้อยคิดว่าองค์ชายคงจะต้องการให้ข้าน้อยดึงวิญญาณของมนุษย์คนนั้นออกมาก็เลย...” ทั้งๆที่หน้าและตัวยังก้มราบอยู่กับพื้นอย่างไม่กล้าสบตาองค์ชาย แต่มือทั้งสองข้างก็ชูดวงวิญญาณดังกล่าวยื่นไปทางที่ไซน์ยืนอยู่


ไซน์หยิบดวงวิญญาณขึ้นมาพิจารณาก่อนจะยื่นไปตรงบริเวณเงามืดที่มืดที่สุดในห้องก่อนจะเอ่ย

“เจฟ เอาเจ้านี่ไปให้ฝ่ายพิพากษา ตัดสินว่าจะทำยังไงกับดวงวิญญาณนี่ดี แล้วก็บอกฝ่ายธุการให้ออกประกาศษณียบัตรเรื่องที่ปีศาจตนนี้ให้ความร่วมมือในการจับกุมด้วยล่ะ”


เงามืดบริเวณนั้นจู่ๆก็ปรากฏมือผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกออกมารับดวงวิญญาณดวงนั้นไป

“ขอรับท่านไซน์” เจ้าของมือผอมแห้งที่ชื่อเจฟตอบรับเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหดมือข้างนั้นหายเข้าไปในเงามืดพร้อมกับดวงวิญญาณของอาจารย์ประจำห้องพยาบาลที่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะกลายเป็นเพียงอดีต...


“ส่วนเจ้าเงยหน้าขึ้นทมาเถอะ...ข้าบอกให้เงยหน้าขึ้นมาไง” ไซน์พูดซ้ำประโยคหลังอย่างเหนื่อยใจ เมื่อปีศาจตรงหน้าตนยังหมอบราบอยู่กับพื้นและไม่มีทีท่าว่าจะยอมลุกขึ้น ไซน์จึงจัดการหิ้วกึ่งกระชากผ้าคลุมศีรษะนั้น จนเจ้าของผ้าคลุมต้องเงยหน้าขึ้นตามแรงฉุดขึ้นมา


“มองตาข้า” ไซน์สั่งนิ่งๆ ซึ่งเจ้าปีศาจก็ทำตามอย่างกล้าๆกลัว พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา ไซน์มองปีศาจตนนั้นด้วยรอยยิ้มนิดๆ เพราะเขารับรู้ได้ว่าปีศาจตนนี้ไม่ได้สั่นเพราะเกรงกลัวเขา แต่เป็นความยำเกรงและความศรัทธาที่มอบให้บิดาของเขาต่างหากที่ทำให้ปีศาจตรงหน้าเป็นแบบนี้


“ข้าต้องขอขอบใจเจ้ามากที่ให้ความร่วมมือในครั้งนี้ เดี๋ยวทางเราจะส่งหนังสือขอบคุณที่เจ้าช่วยเราไปให้ แล้วก็นี่บัตรเชิญร่วมงานเลี้ยงครบเดือนของน้องข้า รู้แล้วใช่มั้ยว่าราชินีให้กำเนิดบุตรอีกคนน่ะ” ไซน์ว่าก่อนยัดแผ่นป้ายทองคำแผ่นบางที่มีตราราชวงศ์สลักอยู่พร้อมคำเชิญเขียนอยู่ยัดลงไปในเสื้อคลุมที่ขาดรุ่งริ่งตัวนั้น ทำเอาปีศาจเจ้าของเสื้อคลุมทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว


“ข้าว่าเจ้ารีบกลับเถอะ เดี๋ยวที่รักของเจ้าจะโกรธเอา” ไซน์พูดด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะผลักปีศาจตนนั้นเบาๆให้ลอยเข้าช่องว่างมิติด้านหลังเข้าไป พร้อมทั้งแอบยิ้มในใจ ทีนี้ก็จะได้ไม่ต้องไปงานที่คนเยอะแสนเยอะนั่นแล้ว...


เจ้าปีศาจได้แต่งงงวยและไม่เข้าใจไปอีกพักใหญ่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และยิ่งงงเข้าไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่องค์ชายพูด องค์ชายรู้เรื่องที่รักของเขาได้อย่างไร อ่า พระองค์ช่างเอาใจใส่ประชาชนไม่แพ้ท่านองค์ราชาเลย?


แต่ก่อนที่เขาจะได้ซาบซึ้งถึงความห่วงใยที่พระองค์มีให้ไปมากกว่านี้ ช่องทางมิติที่องค์ชายเปิดให้ก็ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือภาพที่รักของเขากำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าในห้องนั่งเล่น องค์ชายทรงรู้พิกัดบ้านของเราด้วย พระองค์ช่างเอาใจใส่พวกเราจริงๆ


“ที่รักข้ากลับมาแล้ว...”

“เจ้าหายไปไหนมาน่ะ ข้ารอเจ้านานมากเลยรู้มั้ย” ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนโซฟาผุดลุกขึ้นมาเผชิญหน้าเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงแกมโมโห

“ข้าขอโทษ แต่เจ้าดูนี่สิว่าข้าได้อะไรมา” เขาหยิบเอาบัตรเชิญสีทองที่องค์ชายให้เขาออกมาโชว์ให้ที่รักดู ที่รักต้องดีใจแน่ๆเห็นบ่นว่าอยากไป


แต่กลับไม่เชิงเป็นอย่างที่คิด ที่รักตกใจก็จริง แต่ไม่เห็นเค้าแววดีใจเลยสักนิด ทำไมนะ

“นี่เจ้าไปขโมยมันมาจากไหนน่ะ รู้ไม่ใช่เหรอว่าโทษการลักโขมยมันร้ายแรงน่ะ” ที่รักตวาดใส่เขารุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


“ข้า..อึก...ไม่ได้ขโมย...ฮึก...สักหน่อย..องค์ชาย..ไซน์...ให้มา...ฮึก..ต่างหาก...โฮ” เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ทำไมที่รักต้องตวาดเขาด้วย เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ฮือ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นได้ไม่นานก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่มาจากอ้อมกอดแกร่งที่เข้ามากอดปลอบประโลม


“ทำไมเจ้าไม่บอกก่อนล่ะ ไม่เอาร้องแล้วนะ” ที่รักเอ่ยปลอบเขาคำแล้วคำเล่า จริงๆเขาหยุดร้องไปได้สักพักแล้วแต่ด้วยความว่าอยากอยู่ในอ้อมกอดนีต่อเลยไม่พูดอะไร


“ว่าแต่ องค์ชายให้เจ้ามาจริงๆเหรอ” เหมือนที่รักจะยังไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไหร่เลยถามซ้ำ ซึ่งเขาก็พยักหน้าอยู่กับอ้อมอกตอบกลับไป


“องค์ชายทรงมีน้ำพระทัยยิ่งนัก ที่ให้เจ้าขนาดนี้”


“องค์ชายเปิดมิติมาถึงบ้านให้ข้าด้วยล่ะ ไม่งั้นข้าคงต้องเดินไกล”


สองศรีคู่รักยังคงสนทนาเรื่องขององค์ชายองค์นี้ต่อไปโดยพร้อมใจกันลงความเห็นว่าองค์ชายของพวกเขาช่างเป็นคนที่มีพระปรีชา และมีความเอาใจใสแก่ประชาชนเหลือคะนานับได้?



มืดจังเลย เมื่อไหร่ไฟจะซ่อมเสร็จนะ นี่มันก็เกือยชั่วโมงเล้วด้วย มาสะและผู้เข้าประกวดอีกหลายชีวิตนั่งเบื่ออยู่ด้านหลังเวทีที่ตอนนี้ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ จะอาศัยก็เพียงแค่แสงสว่างที่ลอดผ่านมาจากทางหน้าต่างเท่านั้น


บรรดาทีมงานต่างช่วยกันกระพือพัดสิ่งของต่างๆที่สามารถใช้พัดได้ให้แก่บรรดาผู้เข้าประกวด ที่ตอนนี้ต่างรู้สึกร้อนอบอ้าวเนื่องจากการอยู่กันแออัดในที่ที่ลมไม่ผ่านนัก


มาสะปลีกตัวแยกออกมาจากบรรดาผู้เข้าประกวดที่อยู่อีกด้าน เขายืนรับลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกฉากขนาดใหญ่วางบังเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าทางนี้ก็มีหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ทำใหเขาสามารถอยู่เงียบๆได้อย่างเป็นส่วนตัว


มาสะเหม่อมองออกไปด้านนอกของหน้าต่าง ใจก็พะวงนึกถึงไซน์ ตอนนี้ไซน์จะอยู่ที่ไหนนะ นั่งรออยู่ในหอประชุม หรือว่าเดินเล่นอยู่ตามซุ้มรึเปล่า หรืออาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง...


ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการคงไม่พ้นการได้พบไซน์ในเวลาที่เงียบเหงาแบบนี้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าไซน์เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเข้ามาได้อย่างไร ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าถ้าต้องกลับไปอยู่คนเดียวเหมือนก่อนที่จะได้พบกับไซน์ เขาคงทนไม่ได้แน่ๆ เขารู้แค่ว่าทุกครั้งที่เขาอยู่คนเดียวเขาจะนึกถึงคนคนเดียวเสมอ นั่นคือไซน์ ตอนนี้เองก็เช่นกัน เขาคิดถึงไซน์เหลือเกินทั้งๆที่เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่นานนี้เอง


เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ของตัวเองเลย มันทำให้เขากลัว กลัวว่าเมื่อถึงวันที่เวลาหมดลงเขาจะตัดใจจากไปอย่างที่เคยคิดไว้ไม่ได้ ทั้งที่ตัวเขาเองตอนนี้ก็อยากที่จะพบ อยากพูดคุย อยากได้กำลังใจ อยากกอดไซน์มากแท้ๆ แต่เขากลัว กลัวว่าถ้าตอบรับคำรักนั้น เขาจะแบกรับมันไว้ไม่ไหว แล้วจะมีอะไรมาประกันว่าวันหนึ่งไซน์จะไม่ทิ้งเขาไปแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียว เขากลัว นี่เขากลายเป็นคนขี้กังวลไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ....


“เหงารึเปล่า ขอโทษที่มาหาช้านะ” เสียงทุ้มนุ่มที่แสนคิดถึงกระซิบเบาข้างหูเขา อ้อมกอดอบอุ่นที่สวมกอดทางด้านหลัง กระชับร่างสองร่างให้แนบชิดกัน เขากลัวเหลือเกิน กลัวใจตัวเองที่เผลอไผลทุกครั้งที่ถูกกอด ถูกสัมผัส ทำไมหัวใจของเขาถึงต้องเต้นระรัวทุกครั้งที่ใด้ยินเสียงทุ้มนั่นด้วยนะ ไม่ชอบเลยจริงๆ.....


-----------------


ตอนต่อไป: ตอนที่ 10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น