วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

มาควบคุมความโกรธกันเถอะ

เราเป็นคนไม่ค่อยโกรธค่ะ แต่พอโกรธแล้วมันกลายเป็นน้ำตาตลอด เคยถึงขั้นที่โกรธมากๆ จนบ่อน้ำตาแตกแล้วหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำ แล้วก็ด่าเขาสาระพัด คำพูดแย่ๆที่ไม่เคยคิดจะพูดก็ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด(แต่ไม่ได้ด่าต่อหน้า) แล้วพอดีขึ้นก็บอกทุกคนไปว่าเครียด เพราะงานไม่เสร็จแทน กลัวเสร็จไม่ทัน ทั้งๆที่จริงๆแล้ว โกรธเขาที่ไม่ทำงานแล้วโยนงานและความรับผิดชอบมาให้เราทำคนเดียว แล้วยังโยนขี้มาให้เราอีก เก็บกดน่าดูเหมือนกันตอนนั้น

เป็นประสบการณ์ที่ผ่านมานานพอสมควรแล้ว และทำให้รู้ว่าตัวเราไม่ชอบสภาวะตอนนั้นเลย สภาวะที่ความโกรธมันครอบงำเรา และรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ยังดีที่เรายังมีสติพอที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกไป จึงยังไม่เสียมิตรภาพดีไป (หลังจากนั้นก็ไปคุยตรงๆ ตอนที่สงบแล้วว่ารับพฤติกรรมแบบนั้นไปได้ แต่เขาคนนั้นก็ยอมปรับปรุงตัวเองค่ะ ตอนนี้เลยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน)

บางครั้งเวลาเห็นคนที่โกรธ ระเบิดอารมณ์ สบดด่าคนโน้นคนนี้ บางทีก็โวยวาย เหวี่ยงไปทั้ว เราเคยสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนๆนั้น หรือมันเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นกันแน่ถึงต้องโกรธขนาดนั้น ต้องระเบิดออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ

วันก่อนค่ะ ได้มีโอกาสฟัง Leo ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาพูดเรื่อง How to control anger เลยสรุปเป็นภาษาไทยมาให้ฟัง เพราะคิดว่าเป็นอะไรที่มีประโยชน์มากๆ

ความโกรธคือ
อาการด้านลบหลายๆอย่างเช่น หงุดหงิด รู้สึกไม่พอใจ ขัดใจ ทั้งหมดนี้ถือเป็นความโกรธค่ะ มีตั้งแต่โกรธที่เล็กๆไปจนถึงใหญ่มาก แล้วแต่การตอบสนองของแต่ละคน

คนปกติที่มีความฉลาดทางอารมณ์เพียงพอ จะไม่โกรธอะไรง่ายๆ แต่โกรธเมื่อ เจอกับสถานการณ์ที่สุดๆ หรือเป็นภัยต่อสิ่งสำคัญสำหรับเขาจริงๆ

แต่ถ้าคุณโกรธง่าย นิดหน่อยๆ ก็โมโห มีความรู้สึกอยากจะต่อยเขา ตะคอกตะโกนใส่ ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยเรื่องเล็กน้อย และไม่สามารถควบคุมมันได้ จุดนี้แสดงว่าคุณมีปัญหาเรื่องของจิตใจแล้วค่ะ พบจิตแพทย์เป็นทางแก้ที่ดีที่สุด

ทุกคนมีพื้นฐานและมุมมองความคิดที่ไม่เหมือนกัน เวลาที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจของเรา อย่าเพิ่งโกรธเขา แต่ให้ลองพยายามมองในมุมมองของเขา ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ตัวเราโอเคกับความคิดนี้ได้ไหม พยายามอย่าตัดสินคนด้วยมุมมองของเราอย่างเดียว

เทคนิคในการควบคุมความโกรธ

1. ให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ให้curiousกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมคนนั้นถึงโกรธเรา เราทำอะไรให้เขาโกรธรึเปล่า หรือถ้าเราโกรธเขา ให้สงสัยว่าทำไมเราถึงโกรธ อะไรที่ทำให้เราโกรธ เขาขับรถชนเรา แล้วเรากำลังรีบพาลูกไปหาหมอ ให้หยุดสงสัยในอารมณ์ของเราและคู่กรณีสักครู่ ก่อนจะตัดสินอะไรไป แม้ว่าเราจะเห็นว่าเขาผิดเต็มประตูก็ตาม วิธีนี้จะทำให้จิตใต้สำนึกเราจดจ่อกับสิ่งที่เราสงสัยมากกว่าถูกความโกรธนั้นครอบงำค่ะ

2.มีสติ การมีสติเป็นวิธีที่จะควบคุมความโกรธของเราได้ดีที่สุดในระยะยาวค่ะ

Leo แนะนำว่า ครั้งหน้าที่คุณโกรธใครมากๆ ให้ปล่อยความโกรธนั้นออกมาให้เต็มที่ อยากด่าเขา อยากตะคอกใส่เขา อย่างกระฟัดกระเฟียดแค่ไหน ทำออกมาให้หมดไม่ต้องยั้ง แล้วย้อนมองดูตัวเราค่ะ มองกับไม่มองไม่เหมือนกัน มองกลับไปถึงตัวเราที่กำลังโกรธตอนนั้นด้วยมุมมองของคนนอก ไม่ต้องตัดสินว่าถูกหรือผิด แค่มองดูและสังเกตุ คุณอาจจะนึกขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเสียงดังใส่เขาเลย เขาอาจจะพูดไม่ดีใส่คุณ หรือทำอะไรให้คุณขัดใจ แต่เมื่อคุณฝึกมันบ่อยๆ คุณจะรู้ตัวเองว่าคุณไม่จำเป็นต้องโกรธเขา ไม่จำเป็นต้องปล่อยอารมณ์เราไปตามการกระตุ้นของเขา และคุณจะควบคุมมันได้ดีขึ้น

เช่น เขาอาจจะพูดจาไม่ดีใส่คุณ และคุณกำลังจะตอบโต้เขากับไปด้วยคำที่รุนแรง แต่ ณ จังหวะหนึ่ง จิตใต้สำนึกจะบอกคุณว่า ฉันไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยความโกรธ แม้จะหงุดหงิดกับคำพูดนั้นแค่ไหนก็ตาม

3. นั่งสมาธิ มีประโยชน์ในหลายๆด้าน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ มันจะทำให้เราสงบ และมีสติค่ะ

Leo พูดหลายอย่างที่เกี่ยวกับความโกรธ ที่มาของความโกรธ แต่เราขอพุ่งไปเด็นไปที่ การควบคุมความโกรธข้างบนค่ะ ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ ส่วนใครอยากฟังเต็มๆ เราแปะวิดิโอไว้ด้านล่าง

สุดท้ายนี้ อย่าปล่อยให้ความโกรธครอบงำเราได้นะคะ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้าค่ะ :)










Nerd VS Geek คุณอยู่ฝั่งไหนมากกว่ากัน

วันก่อนค่ะ ไปเจอประเด็นที่เค้าเถียงกันเรื่อง Nerd กับ Geek เราก็เลยเกิดสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ แล้วตัวเราเองล่ะ เป็นแบบไหน แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดว่าตัวเองเนิร์ดนะ ตามความเข้าใจของตัวเองว่าไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหนนัก แล้วก็ชอบอ่านนิยายอยู่ในห้อง บวกกับเรียนค่อนข้างดี ก็คิดว่าเราเนิร์ดแน่นอน แต่พอลองอ่านคำจำกัดความของทั้งสองคำดูแล้วก็เลยเริ่มไม่แน่ใจ เอ๊ะ เราอยู่ฝั่งไหนกันแน่นะ

มาดูคำจำกัดความจาก Google Translate กันก่อน

Nerd
คำจำกัดความของ nerd
คำนาม
a foolish or contemptible person who lacks social skills or is boringly studious.
one of those nerds who never asked a girl to dance
เราว่าเป็นคำจำกัดความที่ค่อนข้างแรงพอสมควรเลย คนที่โง่งม และน่ารังเกียจ ไม่มีทักษะการเข้าสังคม และบ้าการเรียน foolish ในที่นี้น่าจะหมายถึงคนที่จมอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึงโดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆเลย อะไรประมาณนั้น

ไปดูอีกฝั่งกันบ้าง

Geek
คำจำกัดความของ geek
คำนาม
an unfashionable or socially inept person.
His attempts to play a socially inept geek are awkward.
a carnival performer who performs wild or disgusting acts.
Rock musicians get paid for looking like carnival geeks and not making music.
รุนแรงไม่แพ้กันเลย เป็นคนเชยๆไม่ตามแฟชั่น และทำอะไรไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ เราแปลไม่ตรงเท่าไหร่ แต่คิดว่าแบบนี้น่าจะเข้าใจมากกว่า หรือ คนที่ทำการแสดงที่น่ารังเกียจ

เห็นได้ชัดเจนว่าคำจำกัดความของทั้งสองคำนั้น ไปในทางลบอย่างชัดเจน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ข้ามไป อย่าใสใจ

มาดูกราฟที่มีคนทำไว้ข้างล่างนี้กันดีกว่า



อันนี้เป็นกราฟ Nerd / Geek ที่มีคนทำขึ้น เจอหลายเว็บไซต์มากจนไม่แน่ใจว่าอันไหนเป็นต้นตอของของภาพกันแน่ วิธีอ่านกราฟก็เหมือนกราฟจุดที่เคยเรียนตอนมัธยมนั่นแหละ อันนี้เขาแบ่งสีให้เห็นง่ายขึ้นด้วย ส้มคือ Geek และน้ำเงินคือ Nerd

แต่มุมขวาบนนี้เรียกว่าทั้ง Nerd และ Geek รวมอยู่ด้วยกันเลย เกมเมอร์ อเวนเจอร์ และแว่นตา #gamer #avengers #glasses  อื้อหือ โดนทุกข้อ ฮ่าๆ 

มุมซ้ายบนคือ Geek สุดๆ และไม่มีความ Nerd ปนอยู่แม้แต่น้อย

ตรงข้ามกันที่มุมขวาล่าง คือ Nerd สุดๆและไม่มีความเ็น Geekเลย คือ cellist ใครเล่นเชลโล่คือเนิร์ดแน่นอน ว่างั้นนะ

เพื่อนลองเซฟภาพไปวงเล่นๆดูได้ว่าตัวเองอยู่ฝั่งไหนมากกว่ากัน ข่างล่างนี่ของเราลองเล่นดู


พอลองวงๆอันที่เป็นเราดูแล้วก็แบบ 50/50 เนอะ เนิร์ดบ้าง กี้กบ้าง แล้วแต่อย่าง แต่พอมาคิดๆดู วันๆหนึ่งเราอยู่กับอะไรมากกว่ากันแน่ ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทาง Geek มากกว่าหน่อย เพราะดูพวกสารคดี documentary กับอ่าน web comic เรียกได้ว่าทุกวันเลย ฮ่าๆ ดูๆแล้วน่าจะเป็น Geek สัก 60 Nerd 40 

แต่ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนในมุมมองเราว่ามันก็ไม่มีผลอะไรเท่าไหร่ แบ่งจำพวกเอาสนุกๆ ไม่ต้องจริงจังกับมันมากนะ ตัวเราเรารู้ตัวเราดีจริงมั้ย ทำชีวิตเราให้ดีที่สุดดีกว่าเนอะ :)

แถมท้ายด้วยวิดิโอ ต้นตอที่มานั่งเขียนเรื่องนี้ Epic Rap Battle: Nerd vs. Geek




ชอบสองคนนี้จริงๆ ตามช่อง Good mythical morning อยู่ ฝึกภาษาอังกฤษแบบฮาๆพร้อมสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง เผื่อใครสนใจ :)

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

My fragranced world (Yaoi) บันทึกที่3 เตรียมพร้อม

บันทึกที่ 3 เตรียมพร้อม

                ไม่ได้เขียนบันทึกตั้งหลายวัน มีงานด่วนเงินดีเข้ามา เส้นตายวันส่งงานคือวันศุกร์วันนี้ มีเหรอที่ผมจะไม่รับ นักแปลอิสระแบบผมใช่จะมีงานให้ทำทุกวี่ทุกวัน โอกาสมาต้องรีบคว้า เมื่อเคลียร์เสร็จส่งงานรับเงินไปเมื่อบ่าย มีเงินพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวพรุ่งนี้แล้ว มัวแต่ทำงานจนลืมเตรียมตัวไปเที่ยวเลย คุณแม่สุดที่รักจัดการเตรียมให้เรียบร้อยหมดเลย มีแอปเปิ้ลของโปรดของผมแพ็คใส่กล่องเตรียมไว้แล้วด้วย แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ผมชอบที่สุด เพราะมันมีกลิ่นหอมนวลๆเฉพาะตัว แถวยังเคี้ยวกรอบๆ ฉ่ำน้ำกินแล้วรู้สึกสดชื่น

แม่ของผมยังบอกว่าให้เอาสมุดบันทึกติดตัวไปด้วย เผื่อตอนนั้นอยากเขียนอะไรจะได้เขียนเลย สงสัยบันทึกของวันก่อนจะสั้นเกินไป ก็มันไม่รู้จะเขียนอะไรนี่นา

                แต่ผมก็เตรียมที่ในกระเป๋าเผื่อไว้แล้วล่ะ ติดปากกาสีๆไปด้วย ผมไม่แน่ใจว่าสีอะไร ไม่เขียวก็ฟ้าล่ะมั้ง แล้วดินสอ ไหนๆก็ไปเที่ยวสวนสัตว์แล้วก็เลยว่าจะสเก็ตรูปสักหน่อย ไม่ได้วาดมานานแล้ว วาดมันลงบันทึกเล่มนี้นี่แหละ จะได้ไม่ต้องแบกสมุดไปหลายเล่ม

                พรุ่งนี้จะไปกินไอติมหน้าสวนสัตว์ที่เค้าว่าอร่อยกันด้วย พ่อกับแม่น่าจะชอบ ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันรสยังไง แต่ของอร่อยมักมีกลิ่นที่อร่อยด้วย ดังนั้นไม่เป็นปัญหา

                ผมไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว ในหัวตอนนี้ก็มีแต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยว ถึงผมจะแปลนิยายมาหลายเรื่อง แต่ดูเหมือนสกิลการเขียนจะไม่ซึมซับมาถึงผมเลย ผมเลยเขียนได้แต่บันทึกสั้นๆแบบนี้  นอนดีกว่าพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปเที่ยว



---------------------------------------------

ตอนที่แล้วว่าสั้นแล้ว ตอนนี้สั้นยิ่งกว่าค่า ฮ่าๆ เดี๋ยวตอนหน้ายาวแน่นอน จริงๆตอนแรกว่าจะรวมบันทึกที่2กับ3 ไว้ตอนเดียวกัน แต่คิดอีกทีจับแยกแล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรผิดไปจากที่ตั้งใจไว้ ตอนสั้นๆแบบนี้จะโผล่มาไม่บ่อยค่ะ เพราะตัวเอกของเราจะมีเรื่องให้ได้ระบายลงบันทึกเยอะยแะไปหมด :)


ตอนต่อไป >> บันทึกที่ 4

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

My fragranced world (Yaoi) บันทึกที่ 2

บันทึกที่ 2 ตื่นเต้น ไปเที่ยว

                พ่อกับแม่แอบเอาบันทึกของผมไปอ่านด้วยแหละ ถึงจะแอบอ่านตอนผมอาบน้ำแต่ใช่ว่าผมจะไม่รู้นะ ก็เล่นมากอดผมหลังจากเพิ่งอาบน้ำแบบนั้น มีพิรุธเห็นๆ แต่ผมไม่ต่อต้านอะไรหรอกผมชอบกอดแม่ เพราะแม่มักมีกลิ่นแป้งหอมๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้พ่ออาบน้ำก่อนมากอดผม เพราะหลังทำงานเสร็จ พ่อกลิ่นแรงน่าดู ไม่ได้ว่าพ่อเหม็นนะ แต่พอดีว่าผมจมูกดีน่ะ เขียนขนาดนี้แล้วพออ่านเสร็จก็เอาไปปฏิบัติด้วยล่ะ ฮ่าๆ

                ผมไม่หวงบันทึกเล่มนี้หรอก เพราะชีวิตผมมันก็วนคล้ายๆเดิมเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว เมื่อกี้นั่งดูสารคดีกันตอนกินข้าวเย็น เลยตกลงกันว่าเสาร์นี้เราสามคนพ่อแม่ลูกจะไปเที่ยวสวนสัตว์กัน เพราะ แม่อยากให้ผมออกจากบ้านบ้าง เอาจริงๆก็แอบตื่นเต้นเพราะไม่ได้ไปไหนมาพักใหญ่แล้ว วันเสาร์คนน่าจะเยอะ ต้องเตรียมน้ำ เตรียมพัด และยาดม ให้พร้อมเพราะไม่รู้ว่าอากาศจะร้อนมั้ย จริงๆแล้วผมก็แอบกังวลเล็กๆ นั่งทำงานอยู่บนเก้าอี้ทั้งวัน แถมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอีกต่างหาก เรี่ยวแรงมันก็ถดถอย เลยระแวงว่าตัวเองจะไปเป็นลมไม่รู้ตัวเหมือนสมัยเด็กๆเข้า

                แต่ไม่เป็นไรหรอก ไปกันสามคน แล้วผมก็จะเตรียมตัวดีๆ ทริปวันเสาร์นี้จะได้ราบรื่น วันนี้นั่งลิสต์ของวางแผนเที่ยว แล้วก็แปลงานเสร็จไปแล้วอีกงานไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว งั้นวันนี้เอาสั้นๆแค่นี้ก็พอ รอให้ถึงวันเสาร์แทบไม่ไหว อีกสามวัน ตื่นเต้นๆ เหมือนผมได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย นั่งนับวันรอไปเที่ยวแบบนี้

                นึกๆดูแล้วครั้งสุดท้ายที่ไปเที่ยวด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกแบบนี้ คงเป็นตอนที่ไปเที่ยวดอยอินทนนท์ตอนม.ต้นสินะ ตอนนั้นรู้แค่ว่าตัวเองตาบอดสีอย่างเดียว ไปกางเต้นต์นอนกันตอนหน้าหนาว ผมโดนแม่จับใส่เสื้อกันหนาว หมวก ผ้าพันคอเต็มชุดเลย ตอนนั้นก็คิดเองเออเองว่ามันเป็นแฟชั่นที่ต้องใส่ตอนมาเที่ยวยอดดอยสินะ เพราะคนอื่นๆก็แต่งคล้ายๆกัน คิดแล้วก็ขำ

                พอมารู้ตอนหลังว่ามีปัญหาอื่นร่วมด้วย พวกเราก็ไม่เคยไปเที่ยวจริงๆจังๆอีกเลย วันหยุดไม่ไปโรงพยาบาล ก็อยู่บ้านตลอด พอได้มาเขียนอดีตไล่ดูแบบนี้แล้วผมก็พอเข้าใจเหตุผลล่ะนะ ตอนนั้นที่ยังไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาผมจะมากน้อยแค่ไหน ตรงไหนประหยัดได้ก็คงต้องประหยัดไว้ก่อน แต่ผมก็คิดว่าผมยังโชคดีที่ถึงหลายๆอย่างจะไม่เหมือนคนปกติ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องการอุปกรณ์พิเศษราคาแพง หรือคนคอยดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนคนที่โชคร้ายคนอื่นๆ ผมยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ แค่ต้องมีสติและระวังตัวมากหน่อยเท่านั้นเอง


                ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ววันนี้ นอนดีกว่าจะได้ถึงวันเสาร์เร็วๆ แล้วจะได้ไปเที่ยวกัน สวนสัตว์ที่ไปจะมีเพนกวิ้นมั้ยนะ อยากเห็นจังเลย

-----------------------------------------------

พยายามเขียนออกมาให้เหมือนตัวเอกของเราเป็นคนเขียนบันทึกเรื่องราวออกมาด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้นตอนจะมียาวบ้างสั้นบ้างตามเหตุการณ์ต่างๆ

ตอนต่อไป >> บันทึกที่ 3

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

My fragranced world (Yaoi) บันทึกที่ 1

บันทึกที่ 1 โลกสีเทา กลิ่นหอม และอ้อมกอด

                ว่างเปล่า ไม่รู้จะเขียนอะไรดี ถึงคุณหมอจะบอกว่าเขียนอะไรก็ได้ลงไปก็เถอะ คนมันไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้แล้วจะเริ่มยังไง.. ตอนนี้ผมก็เลยเริ่มด้วยการเขียนทุกอย่างที่คิดอยู่ออกมาแทน..

                เฮ้อ ผมอยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ การเขียนอะไรบางอย่างออกมานี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ เขียนอะไรดีล่ะ บันทึกชีวิตประจำวันเหรอ แต่เขียนแล้วจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อแต่ละวันของผมมันผ่านไปเหมือนๆกัน เช้าตื่นมาอาบน้ำกินข้าว ช่วยแม่เคลียร์บ้านแล้วก็กลับเข้าห้องตัวเองทำงาน พักกินข้าวเที่ยงแล้วก็กลับห้องมาทำงานต่อ บ่ายๆเย็นๆก็พักไปนั่งดูข่าว ช่วยแม่ทำข้าวเย็น ถ้ามีไฟก็ทำงานต่อแล้วนอน ไม่ก็นอนเกลือกกลิ้งอ่านนิยายผ่านมือถือจนง่วงหลับไป

                ชีวิตผมมันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ นานๆทีก็ออกจากบ้านไปช่วยแม่ซื้อของเข้าบ้าน แล้วก็หมกตัวทำงานอยู่ในบ้าน งานอะไร งานแปลอิสระ ผมรับงานแปลผ่านทางอินเตอร์เน็ต ตอนนี้งานส่วนใหญ่เป็นงานแปลนิยาย แต่ปกติก็รับแปลหมดแหละ งานไหนที่ดูไม่เหลือบ่ากว่าแรง ค่าแรงพอรับได้ก็รับทำ โดยโกงให้ทำงานฟรีบ้างเป็นครั้งคราวให้โมโหเล่น แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

                เพื่อนเหรอ ก็มีนะ คุยกันบ้างในโซเชียลมีเดียแต่ผมไม่ค่อยออกไปสังสรรค์กับใครเขาเท่าไหร่หรอก บางทีก็แอบอิจฉานะ เห็นกลุ่มเพื่อนๆโพสภาพไปเที่ยวกัน กินดื่มสนุกสนาน แต่ก็แค่พักเดียว ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แล้วความรู้สึกนี้ก็หายไป เพราะผมรู้ดีว่าที่เพื่อนไม่ชวนไม่ใช่เขาไม่สน แต่ทุกคนรู้ดีว่าผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืน และไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ แออัดแบบนั้น แสงไฟวิบวับนั่นชวนคลื่นไส้เวียนหัวพอๆกับกลิ่นแอลกอฮอล์แล้วก็กลิ่นน้ำหอมหลายสิบชนิด แค่คิดก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว

                พอเขียนมาเรื่อยๆแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะ เผลอแปปเดียวได้มีครึ่งหน้าแล้ว เหมือนได้ระบายความคิดที่ยุ่งๆอยู่ในหัวออกมาเป็นตัวอักษร บางทีถ้าผมเขียนต่อไปเรื่อยๆ อีกสักสี่ห้าปีข้างหน้าแล้วกลับมาอ่านดูอีกครั้งมันจะรู้สึกแบบไหนกันนะ เริ่มสนุกขึ้นมาหน่อยๆแล้วสิ

                เขียนอะไรต่อดีล่ะ

                สาเหตุที่ต้องมานั่งเขียนไดอารี่แบบนี้น่ะเหรอ แค่คิดถึงมันก็ทำให้ผมอดถอนหายใจออกมายาวๆไม่ได้ ชีวิตของผมมันก็เรื่อยๆเฉื่อยๆมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่หรอก แต่แม่ของผมเนี่ยสิ แม่ห่วงผมมากเมื่อตอนที่รู้ว่าผมมีหลายอย่างที่ไม่ปกติมากกว่าที่คิด...

                ถ้าจะเริ่มก็คงต้องเริ่มตั้งแต่ตอนประถมปลายล่ะมั้ง ผมจำได้ว่าตอนนั้นคาบวิทยาศาสตร์หรืออะไรเนี่ยแหละที่อาจารย์เขามีให้ทดสอบตาบอดสี แล้วแจ๊กพ็อตก็ดันมาออกที่ผม เมื่อผมเป็นคนเดียวให้ห้องที่มองไม่เห็นตัวเลขอะไรในวงกลมจุดๆนั่นเลย และเรื่องก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเมื่อทางโรงเรียนแจ้งไปยังครอบครัวของผม และหลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้วผมถึงได้รู้ว่าผมตาบอดสีแบบบอดทุกสี หรือพูดง่ายๆคือโลกของผมมีเพียงสีขาว ดำเท่านั้น ทุกคนดูตื่นตกใจรวมทั้งหมอตาที่เป็นคนตรวจให้ผม เขาบอกว่าผมเป็นเคสที่หายากมากที่บอดทุกสี เอาตรงๆผมเฉยๆมากตอนนั้น ก็ผมเห็นของผมแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้วนี่นา แปลกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าคนอื่นเห็นไม่เหมือนตัวเอง

                หลังจากนั้นทั้งพ่อทั้งแม่ก็ศึกษาเรื่องตาบอดสีของผมกันใหญ่โต เพราะกลัวว่ามันจะมีผลต่อชีวิตประจำวันของผม ปัญหาตอนนั้นมันก็มีบ้างแหละ เพราะผมแยกได้แค่สีไหนสว่างสีไหนมืด แต่บอกไม่ได้หรอกว่าอันไหนสีอะไร ผมจึงเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน พอมานึกดูผมยอมรับความผิดปกติได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะโดนเพื่อนล้อบ้างแต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร เดี๋ยวสักพักก็จะมีเพื่อนวิ่งไปฟ้องครูเรื่องผมโดนล้อ ตอนนั้นกลับรู้สึกดีว่าคุณครูเอาใจผมมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆด้วยซ้ำ

พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็เรียนรู้ที่จะทำตัวเนียนๆไปกับคนอื่นจนกว่าจะมีปัญหาเรื่องสายตาจริงๆ และถึงผมจะเขียนในใบประวัตินักเรียนว่าผมตาบอดสี แต่ก็ใช่ว่าครูทุกคนในโรงเรียนจะรู้เรื่องของผม วิชาศิลปะเป็นวิชาที่สนุกขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมโตขึ้น ผมมักสนุกเมื่อเห็นอาจารย์ทำหน้าแปลกๆกับสิ่งที่ผมวาด ผมไม่รู้หรอกว่าในสายตาพวกเขาสีมันปนกันเป็นยังไง แต่ในโลกขาวดำของผม ผมว่ามันสวยดี

นึกๆดูแล้วเพื่อนๆมหาลัยของผม กว่าจะรู้ว่าผมตาบอดสีกันก็ตอนเรียนปีสอง เพราะอาจารย์ไม่ได้แจกเอกสารประกอบการสอน พวกผมเลยต้องจดกันเอง แล้วอาจารย์ก็พูดอธิบายกราฟแท่งอย่างรวดเร็วว่าสีเขียวหมายถึงอันนี้ สีแดงหมายถึงอันนั้น สีฟ้าบอกค่านั่น จะถามเพื่อนข้างๆมันก็จดกันไม่สนใจผม เลยต้องตัดสินใจยกมือขึ้นขัด แล้วบอกแกว่าผมดูกราฟไม่รู้เรื่อง ช่วยทำสัญลักษณ์ให้ได้มั้ย แกก็ทำหน้างงว่ากราฟที่แกทำมาดูยากตรงไหนจนผมต้องบอกแกไปว่าผมตาบอดสี ผมไม่รู้ว่าอันไหนคือเขียว แดง ฟ้าของแก พอมานึกตอนนี้แล้วผมก็อดขำตัวเองไม่ได้ที่ตั้งใจเรียนขนาดนั้น จบคาบนั้นเพื่อนถามกันใหญ่เลยว่าผมมองเห็นเป็นยังไง

พอลองเขียนไล่ออกมาแบบนี้แล้วมันก็ฟังดูลำบากเหมือนกันนะเนี่ยสายตาของผม แต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่มีมีภาวะสายตาสั้นยาวอะไร ไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามีสายตาสั้นรวมเข้าไปด้วยอะไรคงไม่ง่ายแบบนี้

ปัญหาอย่างที่สองเข้ามาในชีวิตผม ไม่สิพูดให้ถูกคือผมเพิ่งมารู้ตัวว่ามันคือปัญหาตอนมัธยม ผมเป็นคนกินง่าย ลิ้นจระเข้ ใครๆก็ว่าแบบนั้น รสชาติแย่แค่ไหนผมก็กินได้ถ้ากลิ่นไม่แย่จนเกินไปนัก แต่เพราะมื้อเช้าวันเสาร์วันหนึ่งที่แม่ของผมเผลอทำกระปุกเกลือหกลงไปในหม้อต้มจืด และผมก็กินต้มหม้อนั้นเข้าไปก่อนที่แม่จะเก็บเอาไปทิ้งอย่างน่าตาเฉย สีหน้าเหวอสุดๆของแม่ตอนนั้นทำให้ผมรู้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เช้านั้นผมโดนทั้งพ่อทั้งแม่ซักเรื่องลิ้นของผมยกใหญ่ เพราะเมื่อทั้งสองคนลองตักมันเข้าปาก ทั้งคู่ต่างทำหน้าเหยเก ก่อนรีบกระดกน้ำเปล่ากันเสียหมดแก้ว ผมถึงได้รู้ว่าต้มจืดหอมๆหม้อนั้นมันเค็มมากจนคนทั่วไปกินไม่ได้

สายวันนั้นผมโดนพาไปโรงพยาบาลทันทีที่เราทานข้าวเช้ากันเสร็จ โดนตรวจโน่นนี่นั่น ให้ชิมรสต่างๆ สรุปว่าผมมีปัญหาเรื่องการรับรสชาติ ทุกๆอย่างรสชาติเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเปรี้ยวเค็มหวานหรือขม มีเพียงรสเผ็ดเท่านั้นแยกได้เพราะเป็นประสาทรับความรู้สึกคนละส่วนกัน แต่ที่ทำให้ผมไม่รู้ตัวว่าผมมีปัญหาเรื่องการรับรสนั้น หมออธิบายว่าเป็นเพราะจมูกของผมยังทำงานได้ดีมาก ถ้าได้กลิ่นกรด เช่น ส้ม มะนาว หรือน้ำส้มสายชู สมองของผมจดจำมาตั้งแต่เล็กว่านี่คือรสเปรี้ยว เช่นเดียวกับรสชาติอื่นๆที่จิตใต้สำนึกของผมจำแนกมันออกจากกันโดยใช้กลิ่น มากกว่าที่จะใช้ลิ้น อ่า ผมรู้สึกว่าผมเหมือนหมาเลยใช้จมูกได้ดีเนี่ย

ผมถูกนัดตรวจอีกสองสามครั้ง และเข้าคอร์สโภชนาการอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหานี้จะไม่มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของผม พ่อกับแม่ดูกังวลมากในช่วงแรก และกลัวผมจะเอาปัญหานี้มาเป็นปมด้อย แต่พอเห็นผมเฉยๆ แถมยังกินข้าวอร่อยขึ้น เพราะกับข้าว และผลไม้หอมๆที่แม่เลือกมาเพื่อผมโดยเฉพาะ พวกท่านก็คลายกังวลลง ผมจะคิดมากไปทำไมล่ะ ในเมื่อลิ้นผมมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่ว่าจู่ๆการรับรสมันหายไปเสียหน่อย มันไม่มีมาตั้งแต่ต้นแล้ว

แต่สองปัญหานี้ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมถูกคุณหมอสั่งให้มานั่งเขียนบันทึกแบบนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นไม่นานนักหลังรับรู้เรื่องลิ้นของผม แม่ตัดสินใจเปิดคอร์สสอนทำอาหารอย่างจริงให้ผมในปิดเทอมถัดมา เพราะกลัวว่าถ้าผมโตขึ้นแล้วต้องอยู่คนเดียว ผมจะเผลอไปกินอะไรแปลกๆเข้า

เริ่มเรียนทำอาหารวันแรกผมก็ก่อเรื่องขึ้นเลย หม้อไข่ต้มที่แม่บอกให้ผมไปเทน้ำร้อนออกแล้วย้ายไข่ต้มลงชามใส่นำแข็งข้างๆ แต่ด้วยความกลัวว่าจะทำไข่ล่วงออกจากหม้อ ผมเลยจุ่มมือลงหม้อที่ไอน้ำพวยพุ่งนั้นพร้อมกับหยิบไข่สามฟองในหม้อออกมาตรงๆ ย้ายลงชามน้ำแข็งข้างๆ แล้วค่อยเทน้ำในหม้อทิ้งลงอ่าง ก่อนจะหันไปหาแม่คิดว่าแม่ต้องชมแน่ๆที่ทำออกมาได้ดี

แต่เปล่าเลย แม่หน้าเหวอมากครับคิดแล้วก็ตลก แต่ตอนนั้นขำไม่ออกสักนิด ไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิด แล้วพอแม่ได้สติแกก็พุ่งเข้าชาร์ตมือข้างนั้น แล้วถามรัวๆว่า ร้อนมั้ย เจ็บมั้ย ผมก็ตอบกลับไปแบบงงๆว่า เหงื่อไม่ออกก็ไม่ร้อนครับ แต่ทำไมมันเริ่มเจ็บๆแล้วก็ไม่รู้ นั่นแหละผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้มือผมแดงเห่อขนาดไหน แม่รีบจุ่มมือข้างนั้นลงชามน้ำแข็งรวมกับไข่ต้มสามฟองก่อนหน้า โดยไม่สนว่าน้ำจะเจิ่งนองบนโต๊ะขนาดไหน ตอนนั้นผมงงมากว่าทำไมถึงเจ็บได้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีแผลสักหน่อย แล้วทำไมแม่ดูตื่นตระหนกขนาดนั้น

แม่ถามผมต่อว่าเย็นขึ้นแล้วใช่มั้ย เจ็บมากรึเปล่า ผมก็ซื่อตอบไปยังเจ็บๆอยู่ แต่ทำไมต้องเย็นขึ้นล่ะวันนี้ไม่ร้อนสักหน่อย เท่านั้นแหละครับแม่ผมเกร็งขึ้นทันทีก่อนสั่งให้ผมนั่งรอ แล้วเอาว่านหางจระเข้มาทามือแดงๆของผมแล้วเริ่มถามคำถามผมไปพร้อมๆกัน

ทำไมลูกเอามือจุ่มลงไปในหม้อแบบนั้น
ผมกลัวว่าถ้าเทน้ำก่อนแล้วไข่จะกลิ้งตกออกจากหม้อครับ

แล้วลูกไม่ร้อนเหรอตอนหยิบไข่ขึ้นมา
ไม่นะครับ ไม่อึดอัด แถมเหงื่อก็ไม่ออกด้วย ทำไมถึงต้องร้อนล่ะครับ

แม่ชะงักมือที่กำลังทายา แล้วมองผมด้วยท่าทางฉงน ผมจำท่าทางนั้นได้แม่นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ก่อนแม่จะถามผมด้วยเสียงสั่นๆ ให้ผมอธิบายว่าร้อนกับเย็นต่างกันยังไง ตอนนั้นผมยังเด็ก และอยู่ในสภาวะที่งงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเกินกว่าจะสัมผัสถึงความกลัวในน้ำเสียงของแม่ได้

ร้อน คือตอนที่ร่างกายจะรู้สึกอึดอัดและเหงื่อออกเยอะ แล้วก็จะหิวน้ำมากๆ เย็นจะเหมือนตอนไปเที่ยวดอยที่ร่างกายจะฝืดๆ สั่นๆ แล้วบางทีเล็บก็จะม่วงๆใช่มั้ยครับ

ผมมองแม่ที่สูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนพยายามเรียกสติตัวเอง ในขณะที่ผมเองเริ่มอยู่ไม่สุข ผมเริ่มเอะใจถึงบางอย่าง มันคล้ายกันมาก คล้ายกับสองครั้งก่อนหน้านั้น ผมเริ่มใจเสีย และเหมือนแม่จะรับรู้ แม่ถอนหายใจเบาๆแล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะลุกไปเปิดน้ำใส่ชามมาอีกใบ แล้วให้ผมจุ่มมือข้างที่ไม่เจ็บลงไปในชามทีละใบ แล้วถามผมว่า น้ำในชามสองใบต่างกันยังไง

ผมชั่งใจพักนึงก่อนจะตอบแม่ไปตามความจริง ว่ามันเหมือนกัน ชามใส่น้ำธรรมดากับชามใส่น้ำที่มีน้ำแข็งอยู่มันไม่ต่างกันเลยสำหรับผม มันก็เปียกเหมือนกัน เสียงของผมที่ตอบออกไปสั่นเล็กน้อย ผมรู้ตัวแล้วว่าบางอย่างไม่ปกติกำลังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง

แม่ดึงผมเข้ามากอด เธอกอดผมแน่นมาก พร้อมกับลูบหัวผม แม่รู้ว่าผมกำลังใจไม่ดี ผมไม่ได้กลัวหรอกว่าตัวเองจะเป็นอะไร แต่ผมเสียใจ เสียใจที่ทำให้แม่ต้องกังวล แม่บอกผมว่าไม่ต้องห่วง เราจะต้องหาทางออกได้ ก่อนจะเดินออกไปโทรศัพท์หาพ่อ และปล่อยให้ผมนั่งมองมือขวาที่ยังเจ็บแปรบๆ อยู่ในห้องครัว

และเป็นอีกครั้งที่ผมกลับไปที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ด้วยสาเหตุที่ไม่ปกติ ผมได้ยาทาแก้แผลพลุพองมา ก่อนคุณหมอจะเริ่มตรวจผมอย่างละเอียด เพราะผมมีประวัติ ทั้งตาบอดสีแบบหายาก แล้วยังลิ้นพิการนั่นอีก ครั้งนี้ละเอียดมากจริงๆ ผมต้องเข้าไปนอนในเครื่องแสกนแม่เหล็ก แสกนสมอง ตรวจหลายอย่างเพื่อดูว่าผมมีความผิดปกติอื่นอีกมั้ย

หมอสรุปออกมาว่าเซลล์ประสาทรับอุณหภูมิใต้ผิวหนังของผมไม่ทำงาน ดังนั้นผมจึงไม่มีปฏิกิริยาต่อความร้อนและเย็น ให้ผมระวังเรื่องความร้อนเพราะผมอาจเป็นลมไม่รู้ตัว และหลีกเลี่ยงที่หนาวๆ เพราะอาจจะหนาวตายไม่รู้ตัวเช่นกัน แต่โชคดีที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เรื่องหนาวเลยไม่ต้องห่วงมากนัก และข่าวดีคือร่างกายของผมยังมีปฏิกิริยาตอบกลับป้องกันตัวอย่างเหงื่อออกตอนร้อน และสั่นตอนหนาว อีกทั้งผมยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่เลยไม่น่าห่วงมากนัก เพราะต่อให้เผลอไปโดนน้ำร้อนเหมือนวันนี้ ผมจะยังรู้สึกเจ็บและหลบหนีอันตรายจากความร้อนได้ แม้จะช้ากว่าคนปกติก็ตาม

ผมจำได้ว่าปิดเทอมนั้นเป็นปิดเทอมที่เหนื่อยมาก เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ผมได้เป็นเคสศึกษาเรื่องระบบประสาทให้กับมหาลัยใกล้โรงพยาบาลนั้น แลกกับที่ครอบครัวของผมจะไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังหากพบวิธีรักษาทางมหาลัยนั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้ แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะรักษาได้ ผมเลยต้องเข้าคอร์สพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อสอนผมโดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่มีปัญญา

ผมชะล่าใจ เพราะอาการผิดปกติของผมเป็นอาการผิดปกติโดยกำเนิด ผมจึงไม่ได้ระวังเท่าที่ควร ทำให้เป็นลมตอนคาบพละหลายครั้ง และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ถึงขั้นเป็น heat stroke และต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ ผมทำแม่ร้องไห้ วันนั้นผมสัญญากับแม่ว่าจะดูแลตัวเอง จะระวังให้มากกว่านี้ และตั้งแต่วันนั้นผมก็เลิกเล่นกีฬากลางแจ้งทั้งหมด ผมจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอีกแล้ว

เมื่อเข้ามหาลัย ผมระวังตัวมากขึ้น พกขวดน้ำติดตัวตลอดเวลา เพื่อนๆรับรู้ว่าผมตาบอดสีเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครรู้ว่าผมมีปัญหากับประสาทสัมผัสการรับรส และอุณหภูมิด้วย ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร ผมไม่ต้องการให้ใครมาสงสารผมมากไปกว่ารับรู้ว่าโลกของผมเป็นสีขาวดำ

ผมเลือกเรียนป.ตรีเอกภาษาอังกฤษ เพราะผมคิดไว้ตั้งแต่ตอนม.6แล้วว่าผมสามารถทำงานแปลเอกสารตอนจบมหาลัยได้ ผมเริ่มรับงานแปลตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีสาม และมีงานมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน งานที่ตัวผมจะไม่เป็นอันตราย และได้จินตนาการตามตัวหนังสือในนิยาย จินตนาการถึงท้องฟ้าและทะเลสีคราว จินตนาการถึงอ้อมกอดอุ่นเหมือนในนิยายที่ผมแปล

อาจเป็นเพราะผมเลือกทำงานแบบนี้ทำให้ผมออกจากบ้านนับครั้งได้ เพื่อนฝูงเริ่มไปมาหากันน้อยลงเพราะต่างคนต่างมีงานของตัวเอง อยู่ไกลกันมากขึ้น แม่ผมเริ่มกังวลว่าผมจะเป็นโรคซึมเศร้าเพราะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง และมัวแต่แปลหนังสือ ต้นปีที่ผ่านมาเธอแอบโทรไปปรึกษาคุณหมอระบบประสาทที่เป็นแพทย์เจ้าของอาการผม เลยได้รับคำแนะนำว่าผมควรลองพบจิตแพทย์ดูสักครั้ง ผมก็ตามใจแม่ครับ ไม่ได้ต่อต้านอะไรเพราะรู้ว่าจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องบ้าก็ไปหาได้ คิดซะว่าหาเพื่อนคุย ผมก็คุยกับคุณหมอสนุกดี หมอบอกผมไม่ได้ซึมเศร้าหรอก มองโลกตามความเป็นจริงดี แค่เฉื่อยชาไปบ้าง และก็ด้วยสภาวะของผมทำให้ขี้ระแวงเล็กน้อย แต่ไม่เป็นผลกับชีวิตประจำวันใดๆ ไม่ต้องห่วง แล้วแกก็แนะนำให้ผมเขียนบันทึกเล่มนี้ หมอบอกให้ผมเขียนไปเรื่อยๆ คิดอะไร รู้สึกอะไรก็เขียน ผมจะรู้จักตัวเองมากขึ้น มีสติมากขึ้น แล้ววันหนึ่งอาจจะได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ


ผมกับแม่พากันไปซื้อสมุดบันทึกและปากกาจากร้านเครื่องเขียน ผมไม่รู้หรอกว่าผมเลือกสมุดบันทึกสีชมพูมา เพราะลายแมวบนปกมันน่ารักดีบวกกับเป็นสีโทนสว่าง ผมได้ปากกามาอีกสามสี่แท่ง โดยที่แต่ละด้ามมีเฉดสีที่ต่างกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของบันทึกเล่มนี้ ผมบอกกับตัวเองว่าผมจะสละเวลาก่อนนอนมาเขียนบันทึกเล่มนี้วันละนิด เขียนเรื่องราวต่างๆ แล้วอีกสิบปียี่สิบปี ผมจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง อ่านให้พ่อกับแม่ฟังว่าผมไม่ได้ลำบากกับสภาพที่เป็นอยู่เลย และมีความสุขมากที่พวกท่านทั้งสองรักผมมากขนาดนี้ ถึงผมจะไม่รู้ว่าอ้อมกอดของพ่อกับแม่อุ่นมากแค่ไหน แต่ผมรู้อยู่เต็มอกว่าผมชอบให้ทั้งคู่กอดผมแน่นๆทุกครั้ง


----------------------------------------------------------------------------
ตัวเอกของเรามองเห็นเป็นภาพgrayscale แบบด้านล่างค่ะ ไม่เชิงว่าเป็นขาวเป็นดำชัดเจนแค่สองสีเท่านั้น ส่วนคนที่อ่านจบตอนหนึ่งแล้วตะหงิดว่าตัวเอกของเรื่องชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เป็นพระเอก หรือ นายเอก ต้องรอลุ้นกันไปก่อนค่ะ ตอนแรกที่พล็อตเรื่องนี้ลอยขึ้นมาก็คิดว่ามันต้องดาร์ก ต้องดราม่ามากแน่ๆ แต่ด้วยความที่ตัวเอกของเราเป็นพวกมองโลกในแง่ดี ดังนั้นเนื้อเรื่องจะเรื่อยๆเอื่อยๆ ความสัมพันธ์เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
  

ที่มาภาพ https://jefflynchdev.files.wordpress.com/2008/12/hill_country_landscape_large.jpg




ตอนต่อไป บันทึกที่ 2

My fragranced world (Yaoi) บทนำ

บทนำ

เรื่องที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของผมเอง เรื่องราวอันจืดชืด ว่างเปล่าและไร้ซึ่งสีสันที่ผมได้สัมผัสตลอดช่วงชีวิต แค่เริ่มเกริ่นก็น่าเบื่อแล้วใช่มั้ยล่ะ ผมยังเบื่อตัวเองเลยที่ต้องมาเขียนบันทึกเรื่องราวลงในสมุดเล่มนี้ แต่หมอบอกว่าถ้าผมเขียนมันไปเรื่อยๆ ผมจะมองโลกของผมเปลี่ยนไป...


......ผมหวังว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่โลกของผมไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป....




--------------------------------
ฮา เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว เปิดไปเรื่อยเริ่มสงสัยตัวเองว่าเรื่องไหนจะจบก่อนกัน 

ตอนต่อไป บันทึกที่1

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

Son Of Man ณ จุดหนึ่ง มันทำให้เกิดแรงผลักดัน

คิดว่าคนส่วนใหญ่สมัยนี้ต้องมีเพลงติดมือถือไว้บ้างไม่มากก็น้อย โดยปกติแล้วเราจะมีเพลงติดไว้ฟังตอนนั่งรถค่ะ คือฟังเฉพาะตอนนั่งรถจริงๆ ทำให้จำไม่ค่อยได้ว่าในมือถือมีเพลงอะไรอยู่บ้าง ฮ่าๆ

เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาตอนนั่งรถกลับบ้านก็หยิบขึ้นมาฟัง เพลงมันก็วิ่งไปเรื่อยๆ เพลงการ์ตูนบ้าง เพลงสากลบ้าง แล้วแต่มันจะสุ่มเจอเพลง Son Of Man ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ทาร์ซาน ของค่ายดิสนี่ย์ ตอนทำนองมันขึ้นก็อืม ทาร์ซาน......เจอท่อนแรกไปนี่ตื่นเลยค่ะ มันเข้ากับช่วงจังหวะชีวิตตอนนี้เหลือเกิน ไปดูเนื้อเพลงกันเป็นท่อนๆดีกว่า คือฟีลลิ่งมันมาเต็มมากตอนนั้น

เกริ่นเล็กน้อยเพื่ออ่านแล้วงง คือปีนี้เราสอบได้ทุนกพ.ค่า หลังจากพลาดไปเมื่อปีที่แล้ว ฟีลช่วงนี้คือต้องเร่งอ่านอังกฤษเพื่อเอาคะแนนไปยื่นมหาลัย แล้วเพลงนี้มันก็มา



Phil Collins – Son Of Man Lyrics


Oh, the power to be strong
And the wisdom to be wise    (ตอนท่อนนี้ก็แบบฮัมๆเพลงไปไม่มีอะไร)

All these things will
Come to you in time      (สองประโยคนี้ขึ้นปุ๊บ อ่า...things มันมาเมื่อถึงเวลาของมันจริงๆ)

On this journey that you're making
There'll be answers that you'll seek    (แบบใช่เลย เราต้อง seek ไปเรื่อย แล้วคำตอบมันจะมาเอง)

And it's you who'll climb the mountain
It's you who'll reach the peak            
(ท่อนนี้แหละพีคเลยค่ะ พีคมาก คือถ้าเราไม่ปีนเขา เราก็ไปไม่ถึงยอดใช่มั้ย ท่อนนี้นี่แบบ ปรี๊ดเลยค่ะ ฟีลลิ่งที่ต้องอ่านหนังสือพุ่งเลยค่ะ อยากเอาหนังสือมาอ่าน ฉันจะต้องเริ่มปีนเขาจริงๆจังๆได้แล้วว!)

Son of Man, look to the sky
Lift your spirit, set it free
(สปิริตพวยพุ่งขึ้นมากลางรถตู้เลยจ้า ฮ่าๆ)

Some day you'll walk tall with pride  
Son of Man, a man in time you'll be

Though there's no one there to guide you
No one to take your hand
But with faith and understanding
You will journey from boy to man

Son of Man, look to the sky
Lift your spirit, set it free
Some day you'll walk tall with pride            (แล้วก็ฟังมาเรื่อยๆ มาดมั่นว่าจบเพลงนี้ จะเปิดวิดิโอ
Son of Man, a man in time you'll be                                    สอนภาษาที่เซฟไว้มาดู)

In learning you will teach
And in teaching you will learn
You'll find your place beside the
Ones you love

Oh, and all the things you dreamed of
The visions that you saw
Well, the time is drawing near now         (กำลังเพลินๆ ความเครียดพุ่งเลยเจอ time is drawing near
It's yours to claim in all                                        เข้าไป เวลามันเหลือน้อยแล้ว อ้ากก )

Son of Man, look to the sky
Lift your spirit, set it free
Some day you'll walk tall with pride
Son of Man, a man in time you'll be


เพลงจบปิดเพลงเลยจ้า เปิดวิดีโอนั่งทวนอังกฤษทันใด ฮ่าๆ แต่ก็ได้จบคลิปแล้วก็ง่วงคอพับคารถตู้ไป

เพลงบางเพลงเราจะอินกับมัน เมื่ออารมณ์ หรือช่วงจังหวะหนึ่งที่ชิวิตเราผ่านประสบการณ์บางอย่างมาแล้วเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ฟังมาหลายครั้ง แต่ไม่อินเท่าครั้งนี้เลยค่ะ ฮ่าๆ

ขอจบหน้านี้ไว้แค่นี้ค่ะ ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ :)


วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่16: คำคืนของคนสองคน

ตอนที่16: คำคืนของคนสองคน

เวลาย่ำค่ำที่หลายคนเริ่มเดินทางกลับบ้าน ณ ชุมชนที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง บ้านหลายหลังในบริเวณนั้นต่างมีแสงไฟเล็ดลอดออกมา ยกเว้นบ้านเล็กหลังหนึ่ง ที่ผู้คนแถวนั้นจะได้ว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งหลายอาทิตย์มานี้ดูเหมือนจะมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

บ้านหลังนี้ปิดไฟเงียบสนิททั้งที่ปกติเวลานี้จะต้องมีแสงไฟเล็ดลอดออกมา ราวกับว่าไม่มีคนอยู่ แต่หากลองฟังดีๆ ณ ห้องห้องหนึ่ง คุณจะได้ยินเสียงบางอย่างดังแผ่วเบา เสียงครวญครางดังหวานหูที่เต็มไปด้วยความกระสันดังแผ่วออกมา สลับกับเสียงหอบหายใจที่ดังประสานมาจากร่างทั้งสอง
.
.
.
.
“อืม...” ร่างสองร่างเบียดกายแนบชิด แลกเปลี่ยนความหวานกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรียวลิ้นเล็กกระหวัดเกี่ยวตอบรับสัมผัสจากลิ้นร้อนของร่างสูงอย่างดูดดื่ม เรียวแขนบางโอบรอบคอร่างสูง คอยพยุงตัวเองเอาไว้ จุมพิตอันแสนเนิ่นนานจบลงโดยที่ทั้งสองฝ่ายละริมฝีปากออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง โดยที่หน้าผากของทั้งคู่ยังจรดติดกันอยู่

เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ปกปิดร่างบางอยู่ค่อยๆถูกปลดออกช้าๆด้วยมือของร่างสูง พร้อมกับใบหน้าคมที่ค่อยๆเลื่อนมาสัมผัสแก้มเนียนจุมพิตแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆลากไล้เลื่อนมาจนถึงลำคอขาวที่ยังคงมีรอยแดงอยู่เป็นแถบๆ

“ไซน์จะลบสัมผัสพวกนั้นออกให้หมด..” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบข้างใบหู ก่อนริมฝีปากจะกดประทับจูบทิ้งรอยที่แดงกว่าไว้ทั่วลำคอ ไล่เรื่อยมาจะถึงแนวไหปลาร้า ก่อนริมฝีปากอุ่นจะจูบลงที่หน้าอกแบนราบ ลิ้นสากไล้เลียทั่วแผ่นอกขาว ก่อนหยุดลงหยอกล้อกับยอดอกที่ชูชันแข็งเป็นไตรับสัมผัสของเขา

ร่างบางสะดุ้ง สั่นสะท้านทุกครั้งที่ได้รับการสัมผัส ลิ้นสากยังคงไล้เลียทั่วแผ่นอกขาว ขบเม้มทิ้งร่องรอยไว้เป็นระยะ ท่ามกลางเสียงหวานที่ครางระส่ำ ไซน์ยังคงอ้อยอิ่งอยู่กับยอดอกทั้งสองข้าง ขณะที่มือหนาค่อยๆปลดอาภรณ์ที่เหลือออกที่ละชิ้น

เรียวลิ้วร้อยค่อยๆเลื่อนลงมาหยอกล้อบริเวณสะดือและท้องน้อย ขณะที่มือหนาค่อยๆปลดกางเกงนอนให้เลื่อนหลุดออกจากเรียวขาบาง มือแกร่งสัมผัสส่วนอ่อนไหวผ่านชั้นในตัวบางที่เหลือเป็นปราการชิ้นสุดท้ายบนร่างของมาสะ

มาสะสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกสัมผัสที่เบื้องล่าง เรียวขาบางกระตุกเกร็งอย่างตกใจ มือเรียวพยายามหยุดยั้งอีกฝ่ายที่เข้ามาวุ่นวายอยู่กับชั้นในตัวบาง ก่อนจะอ่อนแรงลงเมื่อร่างสูงละจากหน้าท้องเนียน ก่อนรุกรานเข้ามาสำรวจโพรงปากร่างบางอีกครั้ง เมื่อริมฝีปากค่อยละจากไป มาสะปรือตาขึ้นอย่างแช่มช้ามองดูใบหน้าคมที่ตอนนี้มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่

“อ๊ะ!...ไซน์...อ๊า..” ร่างบางครางออกมาอย่างตกใจเมื่อรับรู้ว่าตนเองเสียรู้ให้ร่างสูงเสียแล้ว เมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายถูกดึงออกจากร่างไป ทำให้ร่างบางตอนนี้เปลือยเปล่าไร้การปกปิดใดๆ

เรียวขาบางถูกจับแยกออก เผยให้เห็นส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นมา ไซน์ยิ่มกริ่มก่อนริมฝีปากจะเคลื่อนเข้าครอบครองทันที

“อ๊า!..ไซน์...ทำอะ..ไร..ฮ๊า!..”ร่างบางครางลั่นอย่างตกใจเมื่อส่วนอ่อนไหวถูกกลืนกินเข้าไปในโพลงปาก มาสะครางเสียงกระเส่า เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนชื้นถายในบวกกับลมหายใจของร่างสูงที่เป่ารดต้นขา ทั้งยังสัมผัสที่ไซน์จงใจปรนเปรอให้ ลิ้นร้อนไล้วนสัมผัสส่วนอ่อนไหวทุกส่วนสัด สัมผัสจจากเรียวลิ้นที่ดูดเลียระรัวเร็วปลุกอารมณ์ปรารถนาของร่างบางให้พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

“อ๊า!..ไซน์...ฮา..จะ..ไม่ไหวแล้ว..อ๊า!..” มาสะพยายามดันศรีษะของร่างสูงให้ถอยออก แต่ดูจะไม่เป็นผล ไซน์ยังคงปลุกเร้าปรนเปรอให้อารมณ์ปรารถนาของมาสะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดส่วนอ่อนไหวที่ไซน์ครอบครองอยู่ก็กระตุกเกร็งพร้อมกับของเหลวขาวขุ่นที่ถูกปลดปล่อยออกมา

ริมฝีปากบางเผยอหอบหายใจ ดวงตาหวานฉ่ำเยื้อมด้วยแรงอารมณ์มองไปยังผู้กระทำ ก่อนจะตกใจกับสิ่งที่เห็น

ไซน์กลืนของเหลวที่มาสะปลดปล่อยออกมาลงคอไปอย่างไม่มีท่าทีรังเกียจ ก่อนริมฝีปากหนาจะเลื่อนมาประกบจูบอีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนสอดแทรกแลกความหวานเข้ามาในโพลงปากเล็ก มาสะรับรู้ได้ถึงรสชาติเค็มปร่าที่มาพร้อมกับรสจูบ

เมื่อริมฝีปากละออกจากกันมาสะจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถูกร่างสูงโอบให้ลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากันเรียบร้อยแล้ว

“ถอดให้หน่อยสิ...” เสียงแหบพร่าด้วยแรงอารมณ์กระซิบลงที่ข้างใบหู พร้อมๆกับริมฝีปากที่เริ่มขบเม้มหยอกล้อใบหูขาวข้างนั้น

ไซน์มองร่างบางที่ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของเขาออกอย่างเก้ๆกักๆ ด้วยสายตาพราวระยับ ทันทีที่สาบเสื้อถูกถอดออกไปมาสะก็ได้รับรางวัลเป็นสัมผัสหนักที่แก้มกับจุมพิตตรงเปลือกตา โสตประสาตรับรู้ได้ถึงเสียงเสียดสีกันของเสื้อผ้ากับการขยับกายของร่างสูง

“..ทำ..อะไร..” ไซน์ไม่ได้ตอบข้อสงสัยของมาสะ แต่กลับยกร่างบางให้ลอยขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน โดยหันหน้าเข้าหากัน สะโพกบางแนบลงทาบทับกับหน้าขาของร่างสูง พาให้ใบหน้าหวานแดงซ่านเมื่อรับรู้ได้ถึงร่างกายที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ก่อนขะแดงขึ้นอีกเมื่อมือเรียวถูกบังคับให้สัมผัสลงบนแก่นกายร้อนระอุของอีกฝ่าย

“...ทำให้หน่อยสิ...” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดใบหู ลิ้นสากชื้นไล้เลียใบหูของร่างบางราวกับต้องการเร่งให้มือบางกระทำหน้าที่เสียที

มาสะนิ่งไปชั่วครู่ก่อนนิ้วเรียวทั้งสิบจะเข้ากอบกุมแกนกายของอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนกกับขนาดและความร้อนที่สัมผัสได้ มือบางสัมผัสเบาๆไล้ไปตามความยาวของแก่นกายแล้วหยุดลงที่ส่วนยอดของสัดส่วนที่แข็งขืน ก่อนจะตัดสินใจยกกายขึ้นจากตักของร่างสูงลงไปนอนราบกับเตียงแทน

“..อึก!..” เสียงทุ้มหลุดออกมาจากลำคอร่างสูง หลังจากเมื่อครู่ที่มัวแต่งุนงงกับการกระทำของมาสะ ก่อนทอดสายตามองกลุ่มผมสีน้ำตาลที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของตน รับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนชื้นที่ถูกมอบให้อย่างไม่ประสีประสา มุมปากยกขึ้นยิ้มกับการกระทำที่คาดไม่ถึงของร่างบาง

มือเรียวเล็กยังคงประคองแกนกายของอีกฝ่าย แล้วพยายามดุนดันส่วยใหญ่โตนั้นให้เข้าไปในโพลงปากของตน เรียงลิ้นเล็กพยายามไล้เลียสัมผัสให้ดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ หวังให้ร่างสูงพึงพอใจ

ร่างสูงไม่ปล่อยให้ตนเองว่าง มือแกร่งลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลนุ่มที่ชื้นไปด้วยเหงื่อก่อนค่อยๆลูบลำคอเลื่อนลงไปยังร่างกายเบื้องล่าง จากแผ่นหลังเรื่อยไปถึงสะโพกสวยที่งอนขึ้นมาอย่างเชินชวน เรียวนิ้วยาวค่อยๆสอดใส่เข้าไปภายในช่องทางด้านหลัง ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือก ผละริมฝีปากออก เมื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ด้านหลัง

“..อย่าเกร็งนะ..ค่อยๆผ่อนคลาย..อย่างนั้นแหละ...” เรียวนิ้วยาวไล้วนภายในหวังเบิกช่องทางให้ขยายขึ้น เมื่อเห็นว่าช่องทางที่ตอดรัดแน่นตอนแรงเริ่มคลายลง ร่างสูงก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนนิ้วเบิกช่องทางนุ่มอย่างช้าๆ

นิ้วเรียวเสียดสีภายในช่องทางด้านหลัง ปลุกอารมณ์ปรารถนาของร่างบางให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความเสียวกระสันที่ได้รับ

มาสะสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามระงับอารมณืของตนเองก่อนมือเรียวจะขยับนำแก่นกายหนาเข้าสู่โพลงปากของตนอีกครั้ง ลิ้นเรียวเล็กกระหวัดรัดสัดส่วนแข็ง พร้อมทั้งเร่งจังหวะขึ้นอย่างหวังให้ร่างสูงรู้สึกดี

นิ้วเรียวทั้งสี่ที่ทำหน้าที่เบิกช่องทางด้านหลังอยู่ถูกถอนออกพร้อมกับเสียงครางประท้วงในลำคอของร่างบาง ไซน์ดึงร่างบางให้หลุดจากการครอบครองแกนกายของเขา มาสะใจเสีย กลัวว่าตอนจะทำอะไรไม่ถูกใจไซน์ ยังไม่ทันได้หายสงสัย ร่างบางก็ถูกยกขึ้นให้นั่งลงบนตักของร่างสูงอีกครั้ง สะโพกงอนรับรู้ได้ถึงแก่นกายร้อนระอุที่แข็งขืนอยู่เบื้องล่าง จ่อสัมผัสตรงช่องทางด้านหลัง

“..หายใจลึกๆ..อย่าเกร็งนะ..” สิ้นเสียงพูด ร่างบางก็ถูกกดลงให้ทาบทับกลืนกินแกนกายแข็งเข้าไป ทันทีที่แกนกายสัมผัสภายในช่องทางนุ่ม แรงเสียดสีทำให้มาสะเกร็งด้วยแรงอารมณ์ ด้านในก็กระตุกเกร็งรัดแน่น เสียจนไซน์แทบสำลักลมหายใจตัวเอง

“..มาสะ...แน่นจัง..อืม..ผ่อนคลายลงหน่อย...” เสียงแหบพร่าเอ่ยอย่างพยายามระงับอารมณ์ของตนเอง มาสะพยักหน้ารับเบาๆก่อนพยายามผ่อนคลายตนเอง เรียวแขนบางโอบรอบคอร่างสูงแน่น ก่อนร่างบางจะสูดหายใจลึกเพื่อพยายามผ่อนคลาย

ไซน์รับรู้ได้ว่าช่องทางที่รัดแน่นเริ่มผ่อนคลายลง ไซน์จึงกดร่างบางลง แทรกกายเข้าไปจนสุดในทีเดียว

มาสะสะดุ้งชั่วครู่กับความจุกเสียดที่จู่โจมเข้ามา กล้ามเนื้อด้านหลังตอดรัดแก่นกายที่รุกล้ำเข้ามาแน่น ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ เมื่อรับรู้ได้ถึงสัดส่วนร้อนที่อยู่ภายในกายของตน

“เจ็บมากมั้ย?” ไซน์เอ่ยถามอย่างห่างใย พร้อมกับสูดหายใจระงับความปรารถนาที่จะกลืนกินร่างบางของเขาเร็วๆ แต่ถ้าทำอย่างนั้นคงมีแต่จะทำให้มาสะต้องเจ็บปวด

“..นิดหน่อยครับ..แต่..ไม่เป็นไร..” ไซน์ดึงใบหน้าของมาสะให้เขามาใกล้ก่อนประทับริมฝีปากอีกครา ลิ้นเรียวร้อนสอดแทรกเข้าไปขโมยหาความหวานภายใน เพื่อหวังดึงดูดความสนใจของร่างบางให้ผ่อนคลายมากขึ้น

ไซน์ยังไม่ขยับไปไหน เขาต้องการให้ร่างบางชินกับขนาดของเขาอีกสักพัก ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะทำให้ร่างบางบาดเจ็บได้ เปลือกตาบางเปิดขึ้นหลังจากรับจุมพิตที่แสนหวานนั้น เบิงมองคนตรงหน้าที่มีท่าทางทรมาณไม่ใช่น้อย มาสะสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

“..ไซน์.ครับ..”

“หืม” ดวงตาหวานฉ่ำที่มองตรงมาที่เขาก่อนริมฝีปากบางจะแย้มยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“ขยับเถอะครับ...มาสะ..ไม่เป็นไร..” เรียวแขนบางโอบกระชับรอบคอแกร่งแน่น ก่อนซุกหน้ารอ

“จะ..ขยับแล้ว..นะ” ไซน์กระซิบเบาๆที่ข้างหู ก่อนกระชับอ้อมแขน กดจูบลงที่คอขาวอีกครั้ง ก่อนที่แกนกายจะค่อยๆขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้า ค่อยถอนมาจนเกือบเต็มความยาว ก่อนสอดใส่จนสุด เสียงครางหวานดังออกมาอย่างต่อเนื่อง จังหวะการสอดใส่ค่อยเร่งขึ้นตามแรงอารมณ์ของทั้งสอง

เสียงหวานครางกระเส่า ร้องเรียกชื่อของเขาอยู่ข้างๆใบหู เพิ่มแรงอารมณ์ของร่างสูงให้เพิ่มมากขึ้น แก่นกายแข็งขืนเสียดสีกับช่องทางนุ่ม สร้างความเสียวกระสันให้กับคนทั้งสองอย่างมาก ต่างฝ่ายต่างเอ่ยเรียกชื่อของกันและกันดังระงมไปทั่วห้อง สอดประสานกับเสียงกระทบกันของร่างทั้งสอง สลับกับเสียงหอบหายใจครวญคราง จังหวะที่เร่งขึ้นไปพร้อมกับอารมณ์ของทั้งสองที่พุ่งทะยานสูงขึ้น

“อ๊า.!!.” เสียงหวานกรีดร้องขึ้นเมื่ออารมณ์ไต่ถึงระดับสูงสุด พร้อมกับปลดปล่อยออกมาอีกครั้งเปรอะเปื้อนหน้าท้องแบนราบของทั้งสอง

ไซน์ขยับตัวอีกไม่กี่ครั้งก็ปลดปล่อยตามมาสะไปติดๆ ร่างบางรับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนที่ทะลักล้นเข้ามาในร่างของตนเอง ไซน์คาแกนกายเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆถอนออกอย่างช้าๆ

ไซน์โอบกอดมาสะไว้ในอ้อมแขน ทั้งคู่นอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน กดจูบลงที่เปลือกตาของร่างบางเบาๆ กกกอดมาสะไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า ก่อนที่สติของทั้งคู่จะหลุดลอยเข้าสู่ห้วงของนิทราไปพร้อมๆกัน...



ตอนต่อไป >> ตอนที่17

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

Meiah บทนำ

บทนำ

"เฮ้ยไอ้หนู ถูพื้นเสร็จแล้ว ก่อนไปขัดปืน อย่าลืมไปล้างจานด้วยล่ะ" เสียงทุ้มห้าวดังลอดประตูก่อนเจ้าของร่างทหารบึกบึนจะโผล่หน้ามา

"ครับ" มีเพียงเสียงตอบกลับสั้นๆจากเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดถูพื้นแม้แต่น้อย

"แกนี้ฝีมือทำความสะอาดดีจริงๆ เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะบอกให้คนครัวเพิ่มข้าวให้เป็นรางวัล ทำงานให้เสร็จทันข้าวเย็นด้วยล่ะ"

"ครับ"

เด็กหนุ่มหาได้ยินดียินร้ายใดๆกับสิ่งที่ได้ยินไม่ เมืองนี้อยู่ในภาวะสงครามมาหลายปีแล้ว ทำงานดี คือมีข้าวให้กิน แต่ถ้าพลาดนิดเดียวนอกจากอดข้าวแล้วอาจมีแผลฟกช้ำแถมมาด้วย

ขณะที่มือล้างจานไป ในหัวก็คิดถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปในวันนี้ เสร็จแล้วไปขัดปืน ต้องขัดให้เสร็จก่อนเวลาอาหารเย็น กินเสร็จไปลาดตระเวรประจำจุด ก่อนทบทวนวิชาเอาตัวรอดก่อนนอน พรุ่งนี้เขาต้องไปร่วมกับกองกำลังที่เขตชายแดน สองสามอาทิตย์มานี้สถานการณ์โดยรวมนั้นสงบมาก สงบเกินไปจนกลัวว่าพายุลูกใหญ่จะเข้า

สังหรใจยังไงก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มปัดความคิดนั้นทิ้งก่อนล้มตัวลงนอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อรักษาคำสัญญานั้นให้ได้...

เช้าตรู่วันถัดมา เด็กหนุ่มกระชับปืนกลขนาดใหญ่ในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ตามแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากพื้นผิวถนน รอบกายเขามีทหารเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนที่โดยสารรถมาด้วยกัน ทุกคนล้วนติดอาวุธพร้อมเช่นเดียวกับเขา
สงคราม ไม่มีคำว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนต้องต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป

ท้องฟ้าวันนี้ช่างมืดมนนัก ฟ้าครึ้มหม่นอย่างที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในประเทศกึ่งทะเลทรายแห่งนี้ เด็กหนุ่มกระชับปืนเข้าประจำตำแหน่ง ประกบข้างด้วยนายทหารอีกคนที่กำลังตรวจสอบสถานการณ์ผ่านวิทยุสื่อสาร วันนี้มีบางอย่างแปลกไปจริงๆ

"เขตบีปกติ ทราบแล้วเปลี่ยน"

"เขตซี สถานการณ์เหมือนเดิม ปกติดี เปลี่ยน"

สายตาสอดส่องมองออกไปตามเนินทรายสูงต่ำ พร้อมกับหูที่รับฟังเสียงรายงานจากวิทยุอย่างต่อเนื่อง รู้สึกไม่ดีเลย ไม่ดีเอามากๆ

"ที่นี่เขตโอ ไม่มีอะไรผิด..มะ...มีเครื่องบิน! นี่เขตโอ พบเครื่องบินโดยสาร ไม่ทราบสัญชาติกำลังบินเข้ามาในเขต ย้ำ พบเครื่องบิน! มีคนกระโดดลงมา! ร่มชูชีพ 4 คนกำลังลอยไปทางเขตเจกับ..ปั้ง!...ปั้ง!...ซ่า..."

เด็กหนุ่มสำรวจรอบตัวอีกครั้ง ไม่มีสิ่งผิดปกติบนท้องฟ้าในเขตของเขา แต่ทางฝั่งทะเลทรายที่เขาตะหงิดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่...

ทหารทุกคนอยู่ในสภาวะตื่นตัวเต็มที่ ก่อนเด็กหนุ่มจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขาคว้ากล้องส่องทางไกลขึ้นส่องเพื่อยืนยันข้อสงสัยนั้น

"มีรถกำลังพุ่งมาทางนี้ครับ" นายทหารที่อยู่ใกล้รีบยกกล้องเพื่อยืนยัน ก่อนรายงานสถานการณ์ทันที

"นี่เขตเอ็กซ์ มีรถกำลังพุ่งเข้ามาทางเรา!.." เด็กหนุ่มหาได้สนใจเสียงรายงาน เขาคว้าปืนพุ่งตัวประจำการณ์ใต้หินก้อนใหญ่ ก่อนเล็งลำกล้องรอศัตรูที่กำลังเคลื่อนเขาใกล้

"ศัตรูบุก! อ้าก!...ปั้ง!!"

"เขตบี เข้าสู่สภาพการรบเต็มรูปแบบ ศัตรูมีคน...อ้าก!!.."

"ปั้ง!ๆ ปั้ง!ๆ"

เสียงร้องโหยหวน และ เสียงความโกลาหลดังลอดผ่านวิทยุสื่อสาร เข้ามาไม่หยุดหย่อน สร้างความสะพรึงแก่ทหารโดยรอบอย่างมาก

เด็กหนุ่มมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเขตที่เขาประจำการณ์อย่างสั่นเทา เมื่อครู่นี้รถจี๊ปที่ขับพุ่งเข้ามาจอดลงที่นอกเขตยิงพอดี ก่อนที่คนขับเพียงหนึ่งคนจะก้าวลงมา พร้อมปืนและมืดในมือซ้ายและขวา

ลำกล้องปืนที่เล็งตรงไปยังผู้บุกรุกราวกับถูกสะกดไว้ นิ้วมือเหมือนไร้ความรู้สึกจนไม่อาจเหนี่ยวไกปืนได้

เขาทำได้แค่มอง ราวกับปีศาจที่นรกส่งมา ห่ากระสุนที่ถูกส่งไปไม่อาจถูกตัวหมอนั่นได้ เหล่าทหารโดยรอบต่างล้มลงราวใบไม้ร่วง รายแล้วรายเล่า

ปั้ง! ตุบ!

เด็กหนุ่มเหลือบดวงตาอันสั่นระริกด้วยความกลัวมองร่างนายทหารที่อยู่ใกล้เขาที่สุดล้มสิ้นใจลงไม่ห่างออกไปนัก
ไม่นะ เขาจะต้องมาตายที่นี่เหรอ จะถึงจุดจบของเขาแล้วอย่างนั้นเหรอ สัญญา สัญญาที่ให้ไว้กับแม่ ยังทำไม่ได้เลย จะมายอมตายในที่แบบนี้ได้ยังไง!

"คนสุดท้าย" เสียงทุ้มเรียบนิ่งดังขึ้นจากด้านซ้าย เส้นขนทุกเส้นพากันลุกฮือ ประสาทสัมผัสกรีดร้องลั่น เด็กหนุ่มกระโจนอ้อมหินที่ใช้แอบไปทิศตรงข้าม ทันเวลาอย่างเฉียดฉิว กระสุนปืนเจาะลงพื้นทรายห่างไปไม่มาก

ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!

เขาจะมาตายที่นี่ไม่ได้ ตายไม่ได้ จนกว่าสัญญาที่ให้ไว้จะสำเร็จ ตายไม่ได้!

ผู้บุกรุกร่างใหญ่หลบกระสุนได้อย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มสาดกระสุนพร้อมเคลื่อนตัวหลบอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะโดนกระสุนเฉี่ยวหลายต่อหลายนัดแต่กลับไม่มีสักนัดที่เข้าเนื้อตรงๆ

"มีทหารเด็กเหลือหนึ่งคน ไวอย่างกับลิง อีกสักพักน่าจะจัดการได้" ชายหนุ่มร่างยักษ์เอ่ยขึ้นเหมือนกำลังสื่อสารกับใครอยู่

"ผิวแทน ผมสีขาว ใช่ ไวมากยิงไม่โดนจังๆสักที เอางั้นเหรอ ถ้าหัวหนาว่าอย่างนั้นก็ได้"

เด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ แม้เลือดจะไหลรินจนตาเริ่มจะมัวๆบ้างแล้วก็ตาม จะตายไม่ได้...

...!!...กระสุนหมด!!...

"พอดีเลย ฉันไม่ฆ่านายแล้วเจ้าหนู แต่คงต้องให้มาด้วยกัน หัวหน้าฉันอยากจะเจอนาย....."

"อย่าเข้ามานะ!"

ชายร่างใหญ่เก็บปืนไปแล้วเดินตรงเข้ามา เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียง พร้อมกับชักมีดพก อาวุธสุดท้ายของเขาขึ้นขู่

"สงสัยคงต้องหิ้วกลับไปแทนล่ะมั้ง" ภาพชายร่างใหญ่บ่นพึมพำอย่างเหนื่อยใจเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็น ก่อนโลกจะค่อยๆมืดดับลง พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนร่างกายถูกยกลอยขึ้น