วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

My fragranced world (Yaoi) บันทึกที่ 1

บันทึกที่ 1 โลกสีเทา กลิ่นหอม และอ้อมกอด

                ว่างเปล่า ไม่รู้จะเขียนอะไรดี ถึงคุณหมอจะบอกว่าเขียนอะไรก็ได้ลงไปก็เถอะ คนมันไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้แล้วจะเริ่มยังไง.. ตอนนี้ผมก็เลยเริ่มด้วยการเขียนทุกอย่างที่คิดอยู่ออกมาแทน..

                เฮ้อ ผมอยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ การเขียนอะไรบางอย่างออกมานี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ เขียนอะไรดีล่ะ บันทึกชีวิตประจำวันเหรอ แต่เขียนแล้วจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อแต่ละวันของผมมันผ่านไปเหมือนๆกัน เช้าตื่นมาอาบน้ำกินข้าว ช่วยแม่เคลียร์บ้านแล้วก็กลับเข้าห้องตัวเองทำงาน พักกินข้าวเที่ยงแล้วก็กลับห้องมาทำงานต่อ บ่ายๆเย็นๆก็พักไปนั่งดูข่าว ช่วยแม่ทำข้าวเย็น ถ้ามีไฟก็ทำงานต่อแล้วนอน ไม่ก็นอนเกลือกกลิ้งอ่านนิยายผ่านมือถือจนง่วงหลับไป

                ชีวิตผมมันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ นานๆทีก็ออกจากบ้านไปช่วยแม่ซื้อของเข้าบ้าน แล้วก็หมกตัวทำงานอยู่ในบ้าน งานอะไร งานแปลอิสระ ผมรับงานแปลผ่านทางอินเตอร์เน็ต ตอนนี้งานส่วนใหญ่เป็นงานแปลนิยาย แต่ปกติก็รับแปลหมดแหละ งานไหนที่ดูไม่เหลือบ่ากว่าแรง ค่าแรงพอรับได้ก็รับทำ โดยโกงให้ทำงานฟรีบ้างเป็นครั้งคราวให้โมโหเล่น แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

                เพื่อนเหรอ ก็มีนะ คุยกันบ้างในโซเชียลมีเดียแต่ผมไม่ค่อยออกไปสังสรรค์กับใครเขาเท่าไหร่หรอก บางทีก็แอบอิจฉานะ เห็นกลุ่มเพื่อนๆโพสภาพไปเที่ยวกัน กินดื่มสนุกสนาน แต่ก็แค่พักเดียว ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แล้วความรู้สึกนี้ก็หายไป เพราะผมรู้ดีว่าที่เพื่อนไม่ชวนไม่ใช่เขาไม่สน แต่ทุกคนรู้ดีว่าผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืน และไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ แออัดแบบนั้น แสงไฟวิบวับนั่นชวนคลื่นไส้เวียนหัวพอๆกับกลิ่นแอลกอฮอล์แล้วก็กลิ่นน้ำหอมหลายสิบชนิด แค่คิดก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว

                พอเขียนมาเรื่อยๆแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะ เผลอแปปเดียวได้มีครึ่งหน้าแล้ว เหมือนได้ระบายความคิดที่ยุ่งๆอยู่ในหัวออกมาเป็นตัวอักษร บางทีถ้าผมเขียนต่อไปเรื่อยๆ อีกสักสี่ห้าปีข้างหน้าแล้วกลับมาอ่านดูอีกครั้งมันจะรู้สึกแบบไหนกันนะ เริ่มสนุกขึ้นมาหน่อยๆแล้วสิ

                เขียนอะไรต่อดีล่ะ

                สาเหตุที่ต้องมานั่งเขียนไดอารี่แบบนี้น่ะเหรอ แค่คิดถึงมันก็ทำให้ผมอดถอนหายใจออกมายาวๆไม่ได้ ชีวิตของผมมันก็เรื่อยๆเฉื่อยๆมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่หรอก แต่แม่ของผมเนี่ยสิ แม่ห่วงผมมากเมื่อตอนที่รู้ว่าผมมีหลายอย่างที่ไม่ปกติมากกว่าที่คิด...

                ถ้าจะเริ่มก็คงต้องเริ่มตั้งแต่ตอนประถมปลายล่ะมั้ง ผมจำได้ว่าตอนนั้นคาบวิทยาศาสตร์หรืออะไรเนี่ยแหละที่อาจารย์เขามีให้ทดสอบตาบอดสี แล้วแจ๊กพ็อตก็ดันมาออกที่ผม เมื่อผมเป็นคนเดียวให้ห้องที่มองไม่เห็นตัวเลขอะไรในวงกลมจุดๆนั่นเลย และเรื่องก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเมื่อทางโรงเรียนแจ้งไปยังครอบครัวของผม และหลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้วผมถึงได้รู้ว่าผมตาบอดสีแบบบอดทุกสี หรือพูดง่ายๆคือโลกของผมมีเพียงสีขาว ดำเท่านั้น ทุกคนดูตื่นตกใจรวมทั้งหมอตาที่เป็นคนตรวจให้ผม เขาบอกว่าผมเป็นเคสที่หายากมากที่บอดทุกสี เอาตรงๆผมเฉยๆมากตอนนั้น ก็ผมเห็นของผมแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้วนี่นา แปลกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าคนอื่นเห็นไม่เหมือนตัวเอง

                หลังจากนั้นทั้งพ่อทั้งแม่ก็ศึกษาเรื่องตาบอดสีของผมกันใหญ่โต เพราะกลัวว่ามันจะมีผลต่อชีวิตประจำวันของผม ปัญหาตอนนั้นมันก็มีบ้างแหละ เพราะผมแยกได้แค่สีไหนสว่างสีไหนมืด แต่บอกไม่ได้หรอกว่าอันไหนสีอะไร ผมจึงเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน พอมานึกดูผมยอมรับความผิดปกติได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะโดนเพื่อนล้อบ้างแต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร เดี๋ยวสักพักก็จะมีเพื่อนวิ่งไปฟ้องครูเรื่องผมโดนล้อ ตอนนั้นกลับรู้สึกดีว่าคุณครูเอาใจผมมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆด้วยซ้ำ

พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็เรียนรู้ที่จะทำตัวเนียนๆไปกับคนอื่นจนกว่าจะมีปัญหาเรื่องสายตาจริงๆ และถึงผมจะเขียนในใบประวัตินักเรียนว่าผมตาบอดสี แต่ก็ใช่ว่าครูทุกคนในโรงเรียนจะรู้เรื่องของผม วิชาศิลปะเป็นวิชาที่สนุกขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมโตขึ้น ผมมักสนุกเมื่อเห็นอาจารย์ทำหน้าแปลกๆกับสิ่งที่ผมวาด ผมไม่รู้หรอกว่าในสายตาพวกเขาสีมันปนกันเป็นยังไง แต่ในโลกขาวดำของผม ผมว่ามันสวยดี

นึกๆดูแล้วเพื่อนๆมหาลัยของผม กว่าจะรู้ว่าผมตาบอดสีกันก็ตอนเรียนปีสอง เพราะอาจารย์ไม่ได้แจกเอกสารประกอบการสอน พวกผมเลยต้องจดกันเอง แล้วอาจารย์ก็พูดอธิบายกราฟแท่งอย่างรวดเร็วว่าสีเขียวหมายถึงอันนี้ สีแดงหมายถึงอันนั้น สีฟ้าบอกค่านั่น จะถามเพื่อนข้างๆมันก็จดกันไม่สนใจผม เลยต้องตัดสินใจยกมือขึ้นขัด แล้วบอกแกว่าผมดูกราฟไม่รู้เรื่อง ช่วยทำสัญลักษณ์ให้ได้มั้ย แกก็ทำหน้างงว่ากราฟที่แกทำมาดูยากตรงไหนจนผมต้องบอกแกไปว่าผมตาบอดสี ผมไม่รู้ว่าอันไหนคือเขียว แดง ฟ้าของแก พอมานึกตอนนี้แล้วผมก็อดขำตัวเองไม่ได้ที่ตั้งใจเรียนขนาดนั้น จบคาบนั้นเพื่อนถามกันใหญ่เลยว่าผมมองเห็นเป็นยังไง

พอลองเขียนไล่ออกมาแบบนี้แล้วมันก็ฟังดูลำบากเหมือนกันนะเนี่ยสายตาของผม แต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่มีมีภาวะสายตาสั้นยาวอะไร ไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามีสายตาสั้นรวมเข้าไปด้วยอะไรคงไม่ง่ายแบบนี้

ปัญหาอย่างที่สองเข้ามาในชีวิตผม ไม่สิพูดให้ถูกคือผมเพิ่งมารู้ตัวว่ามันคือปัญหาตอนมัธยม ผมเป็นคนกินง่าย ลิ้นจระเข้ ใครๆก็ว่าแบบนั้น รสชาติแย่แค่ไหนผมก็กินได้ถ้ากลิ่นไม่แย่จนเกินไปนัก แต่เพราะมื้อเช้าวันเสาร์วันหนึ่งที่แม่ของผมเผลอทำกระปุกเกลือหกลงไปในหม้อต้มจืด และผมก็กินต้มหม้อนั้นเข้าไปก่อนที่แม่จะเก็บเอาไปทิ้งอย่างน่าตาเฉย สีหน้าเหวอสุดๆของแม่ตอนนั้นทำให้ผมรู้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เช้านั้นผมโดนทั้งพ่อทั้งแม่ซักเรื่องลิ้นของผมยกใหญ่ เพราะเมื่อทั้งสองคนลองตักมันเข้าปาก ทั้งคู่ต่างทำหน้าเหยเก ก่อนรีบกระดกน้ำเปล่ากันเสียหมดแก้ว ผมถึงได้รู้ว่าต้มจืดหอมๆหม้อนั้นมันเค็มมากจนคนทั่วไปกินไม่ได้

สายวันนั้นผมโดนพาไปโรงพยาบาลทันทีที่เราทานข้าวเช้ากันเสร็จ โดนตรวจโน่นนี่นั่น ให้ชิมรสต่างๆ สรุปว่าผมมีปัญหาเรื่องการรับรสชาติ ทุกๆอย่างรสชาติเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเปรี้ยวเค็มหวานหรือขม มีเพียงรสเผ็ดเท่านั้นแยกได้เพราะเป็นประสาทรับความรู้สึกคนละส่วนกัน แต่ที่ทำให้ผมไม่รู้ตัวว่าผมมีปัญหาเรื่องการรับรสนั้น หมออธิบายว่าเป็นเพราะจมูกของผมยังทำงานได้ดีมาก ถ้าได้กลิ่นกรด เช่น ส้ม มะนาว หรือน้ำส้มสายชู สมองของผมจดจำมาตั้งแต่เล็กว่านี่คือรสเปรี้ยว เช่นเดียวกับรสชาติอื่นๆที่จิตใต้สำนึกของผมจำแนกมันออกจากกันโดยใช้กลิ่น มากกว่าที่จะใช้ลิ้น อ่า ผมรู้สึกว่าผมเหมือนหมาเลยใช้จมูกได้ดีเนี่ย

ผมถูกนัดตรวจอีกสองสามครั้ง และเข้าคอร์สโภชนาการอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหานี้จะไม่มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของผม พ่อกับแม่ดูกังวลมากในช่วงแรก และกลัวผมจะเอาปัญหานี้มาเป็นปมด้อย แต่พอเห็นผมเฉยๆ แถมยังกินข้าวอร่อยขึ้น เพราะกับข้าว และผลไม้หอมๆที่แม่เลือกมาเพื่อผมโดยเฉพาะ พวกท่านก็คลายกังวลลง ผมจะคิดมากไปทำไมล่ะ ในเมื่อลิ้นผมมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่ว่าจู่ๆการรับรสมันหายไปเสียหน่อย มันไม่มีมาตั้งแต่ต้นแล้ว

แต่สองปัญหานี้ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมถูกคุณหมอสั่งให้มานั่งเขียนบันทึกแบบนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นไม่นานนักหลังรับรู้เรื่องลิ้นของผม แม่ตัดสินใจเปิดคอร์สสอนทำอาหารอย่างจริงให้ผมในปิดเทอมถัดมา เพราะกลัวว่าถ้าผมโตขึ้นแล้วต้องอยู่คนเดียว ผมจะเผลอไปกินอะไรแปลกๆเข้า

เริ่มเรียนทำอาหารวันแรกผมก็ก่อเรื่องขึ้นเลย หม้อไข่ต้มที่แม่บอกให้ผมไปเทน้ำร้อนออกแล้วย้ายไข่ต้มลงชามใส่นำแข็งข้างๆ แต่ด้วยความกลัวว่าจะทำไข่ล่วงออกจากหม้อ ผมเลยจุ่มมือลงหม้อที่ไอน้ำพวยพุ่งนั้นพร้อมกับหยิบไข่สามฟองในหม้อออกมาตรงๆ ย้ายลงชามน้ำแข็งข้างๆ แล้วค่อยเทน้ำในหม้อทิ้งลงอ่าง ก่อนจะหันไปหาแม่คิดว่าแม่ต้องชมแน่ๆที่ทำออกมาได้ดี

แต่เปล่าเลย แม่หน้าเหวอมากครับคิดแล้วก็ตลก แต่ตอนนั้นขำไม่ออกสักนิด ไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิด แล้วพอแม่ได้สติแกก็พุ่งเข้าชาร์ตมือข้างนั้น แล้วถามรัวๆว่า ร้อนมั้ย เจ็บมั้ย ผมก็ตอบกลับไปแบบงงๆว่า เหงื่อไม่ออกก็ไม่ร้อนครับ แต่ทำไมมันเริ่มเจ็บๆแล้วก็ไม่รู้ นั่นแหละผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้มือผมแดงเห่อขนาดไหน แม่รีบจุ่มมือข้างนั้นลงชามน้ำแข็งรวมกับไข่ต้มสามฟองก่อนหน้า โดยไม่สนว่าน้ำจะเจิ่งนองบนโต๊ะขนาดไหน ตอนนั้นผมงงมากว่าทำไมถึงเจ็บได้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีแผลสักหน่อย แล้วทำไมแม่ดูตื่นตระหนกขนาดนั้น

แม่ถามผมต่อว่าเย็นขึ้นแล้วใช่มั้ย เจ็บมากรึเปล่า ผมก็ซื่อตอบไปยังเจ็บๆอยู่ แต่ทำไมต้องเย็นขึ้นล่ะวันนี้ไม่ร้อนสักหน่อย เท่านั้นแหละครับแม่ผมเกร็งขึ้นทันทีก่อนสั่งให้ผมนั่งรอ แล้วเอาว่านหางจระเข้มาทามือแดงๆของผมแล้วเริ่มถามคำถามผมไปพร้อมๆกัน

ทำไมลูกเอามือจุ่มลงไปในหม้อแบบนั้น
ผมกลัวว่าถ้าเทน้ำก่อนแล้วไข่จะกลิ้งตกออกจากหม้อครับ

แล้วลูกไม่ร้อนเหรอตอนหยิบไข่ขึ้นมา
ไม่นะครับ ไม่อึดอัด แถมเหงื่อก็ไม่ออกด้วย ทำไมถึงต้องร้อนล่ะครับ

แม่ชะงักมือที่กำลังทายา แล้วมองผมด้วยท่าทางฉงน ผมจำท่าทางนั้นได้แม่นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ก่อนแม่จะถามผมด้วยเสียงสั่นๆ ให้ผมอธิบายว่าร้อนกับเย็นต่างกันยังไง ตอนนั้นผมยังเด็ก และอยู่ในสภาวะที่งงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเกินกว่าจะสัมผัสถึงความกลัวในน้ำเสียงของแม่ได้

ร้อน คือตอนที่ร่างกายจะรู้สึกอึดอัดและเหงื่อออกเยอะ แล้วก็จะหิวน้ำมากๆ เย็นจะเหมือนตอนไปเที่ยวดอยที่ร่างกายจะฝืดๆ สั่นๆ แล้วบางทีเล็บก็จะม่วงๆใช่มั้ยครับ

ผมมองแม่ที่สูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนพยายามเรียกสติตัวเอง ในขณะที่ผมเองเริ่มอยู่ไม่สุข ผมเริ่มเอะใจถึงบางอย่าง มันคล้ายกันมาก คล้ายกับสองครั้งก่อนหน้านั้น ผมเริ่มใจเสีย และเหมือนแม่จะรับรู้ แม่ถอนหายใจเบาๆแล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะลุกไปเปิดน้ำใส่ชามมาอีกใบ แล้วให้ผมจุ่มมือข้างที่ไม่เจ็บลงไปในชามทีละใบ แล้วถามผมว่า น้ำในชามสองใบต่างกันยังไง

ผมชั่งใจพักนึงก่อนจะตอบแม่ไปตามความจริง ว่ามันเหมือนกัน ชามใส่น้ำธรรมดากับชามใส่น้ำที่มีน้ำแข็งอยู่มันไม่ต่างกันเลยสำหรับผม มันก็เปียกเหมือนกัน เสียงของผมที่ตอบออกไปสั่นเล็กน้อย ผมรู้ตัวแล้วว่าบางอย่างไม่ปกติกำลังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง

แม่ดึงผมเข้ามากอด เธอกอดผมแน่นมาก พร้อมกับลูบหัวผม แม่รู้ว่าผมกำลังใจไม่ดี ผมไม่ได้กลัวหรอกว่าตัวเองจะเป็นอะไร แต่ผมเสียใจ เสียใจที่ทำให้แม่ต้องกังวล แม่บอกผมว่าไม่ต้องห่วง เราจะต้องหาทางออกได้ ก่อนจะเดินออกไปโทรศัพท์หาพ่อ และปล่อยให้ผมนั่งมองมือขวาที่ยังเจ็บแปรบๆ อยู่ในห้องครัว

และเป็นอีกครั้งที่ผมกลับไปที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ด้วยสาเหตุที่ไม่ปกติ ผมได้ยาทาแก้แผลพลุพองมา ก่อนคุณหมอจะเริ่มตรวจผมอย่างละเอียด เพราะผมมีประวัติ ทั้งตาบอดสีแบบหายาก แล้วยังลิ้นพิการนั่นอีก ครั้งนี้ละเอียดมากจริงๆ ผมต้องเข้าไปนอนในเครื่องแสกนแม่เหล็ก แสกนสมอง ตรวจหลายอย่างเพื่อดูว่าผมมีความผิดปกติอื่นอีกมั้ย

หมอสรุปออกมาว่าเซลล์ประสาทรับอุณหภูมิใต้ผิวหนังของผมไม่ทำงาน ดังนั้นผมจึงไม่มีปฏิกิริยาต่อความร้อนและเย็น ให้ผมระวังเรื่องความร้อนเพราะผมอาจเป็นลมไม่รู้ตัว และหลีกเลี่ยงที่หนาวๆ เพราะอาจจะหนาวตายไม่รู้ตัวเช่นกัน แต่โชคดีที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เรื่องหนาวเลยไม่ต้องห่วงมากนัก และข่าวดีคือร่างกายของผมยังมีปฏิกิริยาตอบกลับป้องกันตัวอย่างเหงื่อออกตอนร้อน และสั่นตอนหนาว อีกทั้งผมยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่เลยไม่น่าห่วงมากนัก เพราะต่อให้เผลอไปโดนน้ำร้อนเหมือนวันนี้ ผมจะยังรู้สึกเจ็บและหลบหนีอันตรายจากความร้อนได้ แม้จะช้ากว่าคนปกติก็ตาม

ผมจำได้ว่าปิดเทอมนั้นเป็นปิดเทอมที่เหนื่อยมาก เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ผมได้เป็นเคสศึกษาเรื่องระบบประสาทให้กับมหาลัยใกล้โรงพยาบาลนั้น แลกกับที่ครอบครัวของผมจะไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังหากพบวิธีรักษาทางมหาลัยนั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้ แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะรักษาได้ ผมเลยต้องเข้าคอร์สพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อสอนผมโดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่มีปัญญา

ผมชะล่าใจ เพราะอาการผิดปกติของผมเป็นอาการผิดปกติโดยกำเนิด ผมจึงไม่ได้ระวังเท่าที่ควร ทำให้เป็นลมตอนคาบพละหลายครั้ง และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ถึงขั้นเป็น heat stroke และต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ ผมทำแม่ร้องไห้ วันนั้นผมสัญญากับแม่ว่าจะดูแลตัวเอง จะระวังให้มากกว่านี้ และตั้งแต่วันนั้นผมก็เลิกเล่นกีฬากลางแจ้งทั้งหมด ผมจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอีกแล้ว

เมื่อเข้ามหาลัย ผมระวังตัวมากขึ้น พกขวดน้ำติดตัวตลอดเวลา เพื่อนๆรับรู้ว่าผมตาบอดสีเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครรู้ว่าผมมีปัญหากับประสาทสัมผัสการรับรส และอุณหภูมิด้วย ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร ผมไม่ต้องการให้ใครมาสงสารผมมากไปกว่ารับรู้ว่าโลกของผมเป็นสีขาวดำ

ผมเลือกเรียนป.ตรีเอกภาษาอังกฤษ เพราะผมคิดไว้ตั้งแต่ตอนม.6แล้วว่าผมสามารถทำงานแปลเอกสารตอนจบมหาลัยได้ ผมเริ่มรับงานแปลตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีสาม และมีงานมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน งานที่ตัวผมจะไม่เป็นอันตราย และได้จินตนาการตามตัวหนังสือในนิยาย จินตนาการถึงท้องฟ้าและทะเลสีคราว จินตนาการถึงอ้อมกอดอุ่นเหมือนในนิยายที่ผมแปล

อาจเป็นเพราะผมเลือกทำงานแบบนี้ทำให้ผมออกจากบ้านนับครั้งได้ เพื่อนฝูงเริ่มไปมาหากันน้อยลงเพราะต่างคนต่างมีงานของตัวเอง อยู่ไกลกันมากขึ้น แม่ผมเริ่มกังวลว่าผมจะเป็นโรคซึมเศร้าเพราะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง และมัวแต่แปลหนังสือ ต้นปีที่ผ่านมาเธอแอบโทรไปปรึกษาคุณหมอระบบประสาทที่เป็นแพทย์เจ้าของอาการผม เลยได้รับคำแนะนำว่าผมควรลองพบจิตแพทย์ดูสักครั้ง ผมก็ตามใจแม่ครับ ไม่ได้ต่อต้านอะไรเพราะรู้ว่าจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องบ้าก็ไปหาได้ คิดซะว่าหาเพื่อนคุย ผมก็คุยกับคุณหมอสนุกดี หมอบอกผมไม่ได้ซึมเศร้าหรอก มองโลกตามความเป็นจริงดี แค่เฉื่อยชาไปบ้าง และก็ด้วยสภาวะของผมทำให้ขี้ระแวงเล็กน้อย แต่ไม่เป็นผลกับชีวิตประจำวันใดๆ ไม่ต้องห่วง แล้วแกก็แนะนำให้ผมเขียนบันทึกเล่มนี้ หมอบอกให้ผมเขียนไปเรื่อยๆ คิดอะไร รู้สึกอะไรก็เขียน ผมจะรู้จักตัวเองมากขึ้น มีสติมากขึ้น แล้ววันหนึ่งอาจจะได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ


ผมกับแม่พากันไปซื้อสมุดบันทึกและปากกาจากร้านเครื่องเขียน ผมไม่รู้หรอกว่าผมเลือกสมุดบันทึกสีชมพูมา เพราะลายแมวบนปกมันน่ารักดีบวกกับเป็นสีโทนสว่าง ผมได้ปากกามาอีกสามสี่แท่ง โดยที่แต่ละด้ามมีเฉดสีที่ต่างกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของบันทึกเล่มนี้ ผมบอกกับตัวเองว่าผมจะสละเวลาก่อนนอนมาเขียนบันทึกเล่มนี้วันละนิด เขียนเรื่องราวต่างๆ แล้วอีกสิบปียี่สิบปี ผมจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง อ่านให้พ่อกับแม่ฟังว่าผมไม่ได้ลำบากกับสภาพที่เป็นอยู่เลย และมีความสุขมากที่พวกท่านทั้งสองรักผมมากขนาดนี้ ถึงผมจะไม่รู้ว่าอ้อมกอดของพ่อกับแม่อุ่นมากแค่ไหน แต่ผมรู้อยู่เต็มอกว่าผมชอบให้ทั้งคู่กอดผมแน่นๆทุกครั้ง


----------------------------------------------------------------------------
ตัวเอกของเรามองเห็นเป็นภาพgrayscale แบบด้านล่างค่ะ ไม่เชิงว่าเป็นขาวเป็นดำชัดเจนแค่สองสีเท่านั้น ส่วนคนที่อ่านจบตอนหนึ่งแล้วตะหงิดว่าตัวเอกของเรื่องชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เป็นพระเอก หรือ นายเอก ต้องรอลุ้นกันไปก่อนค่ะ ตอนแรกที่พล็อตเรื่องนี้ลอยขึ้นมาก็คิดว่ามันต้องดาร์ก ต้องดราม่ามากแน่ๆ แต่ด้วยความที่ตัวเอกของเราเป็นพวกมองโลกในแง่ดี ดังนั้นเนื้อเรื่องจะเรื่อยๆเอื่อยๆ ความสัมพันธ์เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
  

ที่มาภาพ https://jefflynchdev.files.wordpress.com/2008/12/hill_country_landscape_large.jpg




ตอนต่อไป บันทึกที่ 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น