วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่9: เหตุการณ์ที่ไม่มีใครรับรู้?

ตอนที่9: เหตุการณ์ที่ไม่มีใครรับรู้?

                 
“เอาล่ะครับต่อไปจะเป็นการเดินโชว์ตัวของผู้เข้าประกวดทั้งหมด 12 คู่ จากทั้งหมด 12 ห้องเรียนครับ แล้วรายการหลังจากนั้นจะเป็นการประกาศเกณฑ์การตัดสินครับ” พิธีกรประจำเวทีการประกวดกล่าวกับผู้ชมอย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เชิญทุกท่านร่วมยลโฉมผู้เข้าประกวดกัน ณ บัดนี้ครับ!!!” พิธีกรหนุ่มผายมือไปทางอีกฟากหนึ่งของเวที ก่อนคนเองจะค่อยๆเขยิบออกมา

เสียงดนตรีดังขึ้นเป็นจังหวะฟังดูชวนตื่นเต้น พลอยให้ลุ้นระทึกว่าเมื่อไหร่ผู้เข้าประกวดจะเดินออกมา พร้อมๆกับการปรากฎตัวของผู้สมัครคู่แรก 

แต่ก่อนที่บรรดาผู้เข้าชมจะมีโอกาสได้ยลโฉมผู้เข้าประกวดสมใจ ก็บังเกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง หร้อมๆกับเสียงดังเปรี้ยงที่บ่งบอกว่าได้มีฟ้าผ่าลงมา ไม่กี่อึดใจต่อมาหอประชุมที่เคยสว่างไสวก็มืดลงทันตา

ทางทีมงานพยายามเดินเครื่องปั่นไปสำรอง แต่ก็โชคร้ายซ้ำอีกเมื่อเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่กลับอยู่ในสภาพเสียหายไม่สามารถใช้งานได้ ทีมงานทั้งหลายจึงจำใจต้องใช้เครื่องปั่นไฟขนาดเล็กปั่นไฟที่เพียงพอแค่ให้เครื่องขยายเสียงทำงานแทนไปก่อน

“ขอให้ทุกท่านกรุณาอยู่ในความสงบนะครับ เกิดเหตุขัดข้องกับอุปกรณ์ของเราเล็กน้อย ทางทีมเราจะรีบหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ดำเนินงานต่อไปได้อย่างแน่นอนครับ” นากาฮาระ พิธีกรประจำเวทีแห่งนี้กำลังพยายามกล่าวกับบรรดาเหล่าผู้เข้าชมให้อยู่ในอาการสงบ ก่อนจะหันไปสั่งทีมงานให้ดูแลผู้เข้าประกวดให้ดี แล้วจึงหันไปพูดคุยกะบรรดาผู้ชมต่อ ภายในใจก็ภาวนาขอให้เรื่องนี้แก้ไขได้โดยเร็ว


เสียงพึมพำของบทสวดที่ฟังชวนขนลุกดังออกมาจากห้องพยาบาลประจำโรงเรียน แต่ในเวลาที่โรงเรียนกำลังมีงานรื่นเริงอย่างนี้ จะมีสักกี่คนกันที่จะเดินมาถึงห้องพยาบาลที่อยู่คนละฟากกับสถานที่จัดงานแบบนี้

มองผ่านหน้าต่างด้านนอกจะเห็นผ้าม่านสีขาวสะอาดปลิวไสว ทั้งๆที่หน้าต่างไม่ได้เปิด แถมลักษณะการสะบัดยังผิดธรรมชาติอีกด้วย ราวกับว่าด้านในกำลังประสบกับลมพายุรุนแรงอย่างนั้น

เสียงพึมพำที่แสนยาวนานในที่สุดก็จบลง ภายในห้องที่มืดทึบนี้ สายลมโบกพัดรุนแรงราวกับไม่มีวันสิ้นสุด และได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พัดข้าวของต่างๆภายในห้องจนกระจัดกระจาย เสียงเสียดสีของสายลมที่ฟังราวกับเสียงกรีดร้อง

“ด้วยพิธีกรรมโบราณ บวกกับของบรรณาการทั้งหมดนี้ ฉันก็จะสามารถอัญเชิญราชาปีศาจออกมาทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริง ฮ่าๆๆ” คุจิยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไป ระหว่างที่พิธีกรรมกำลังดำเนิน

สายลมที่พัดอย่างรุนแรงมาเนิ่นนานอยู่ๆก็หยุดลง พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสีดำทมิฬ ที่มีผ้าคลุมขาดๆโสกโครกผืนหนึ่งคลุมเอาไว้

“เจ้ามนุษย์ เรียกข้ามามีอะไรอย่างนั้นหรือ” เสียงแหบแห้งบาดหูดังออกมาจากลำคอสีซีดที่โผล่พ้นผ้าคลุมขาดๆออกมา

“ท่านราชาปีศ่าจ...” คุจิเอ่ยแผ่วเบาด้วยความนอบน้อม แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ ปีศาจตนที่เขาเข้าใจว่าเป็นราชาปีศาจ ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ราชาปีศาจ อย่างข้าเนี่ยนะ ฮ่าๆ ข้ายังไม่ได้เท่าเศษขี้เล็บขององค์ราชาด้วยซ้ำ ฮ่าๆ”

“แล้วแกเป็นตัวอะไร” เมื่อปีศาจตรงหน้าไม่ใช่ตนที่เขาต้องการพบแล้ว ความนอบน้อมที่เคยมีก็หมดลง คุจิแผดเสียงตะคอกถาม

“ข้าก็เป็นพลเมืองบ้านๆคนหนึ่งของแดนปีศาจเท่านั้น ด้วยของอัญเชิญกับพิธีเล็กๆอย่างนี้อย่าว่าแต่ราชาปีศาจเลย แค่ทหารปีศาจยังไม่มีปัญญาจะเชิญได้เลย” ปิศาจตนนั้นกวาดตามองข้าวของที่ใช้อันเชิญ และพิธีกรรมด้วยท่าทีเหยียดหยาม ก่อนจะพูดต่อว่า

“เจ้าต้องการอะไรก็บอกๆมา ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน.......เดี๋ยวที่รักข้าจะโกรธเอา” แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนั้น เจ้าปีศาจเพียงแค่พึมพำกับตัวเองคนเดียวเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิว่า ต้องทำยังไงถึงจะอัญเชิญราชาปีศาจออกมาได้ ทำยังไงถึงจะได้มาซึ่งพลังอำนาจที่สามารถแก้แค้นมนุษย์ทุกคนได้” คุจิตะโกนก้อง ดวงตาที่แข็งก้าวจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่มีเกรงกลัวแม้แต่น้อย

เจ้าปีศาจเพียงแค่มองคุจิด้วยท่าทางเฉยๆ ไม่มีท่าทีหวั่นเกรง ที่รักของเขาตอนโกรธน่ากลัวกว่านี้เยอะ กะอีแค่มนุษย์ตัวเล็กๆมีอะไรที่เขาต้องกลัวกัน จะว่าไปก็รีบกลับดีกว่าเดี๋ยวที่รักจะโกรธเอา เอาเป็นว่าบอกวิธีอัญเชิญไปแล้วกันจะได้รีบๆกลับ


ห้ามบอกวีธีอัญเชิญเด็ดขาด อนุญาตให้ทำอะไรก็ได้เพื่อหยุดยั้งชายคนนั้น งดเว้นกฎหมายเรื่องการควบคุมดวงวิญญาณมนุษย์ชั่วคราว’ เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในหัวของเขา พร้อมกับความหนาวยะเยือกที่ไล่มาตามไขสันหลัง ชนชั้นสูง!!!


สิ่งเดียวที่เจ้าปีศาจรับรู้ตอนนี้คือ มีปีศาจที่ระดับสูงมากเพิ่งจะใช้ความสามารถที่เรียกได้ว่าหายากแสนยากของโลกปีศาจกับเขา แถมต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงมากด้วยถึงขนาดสามารถละเว้นเรื่องกฎหมายวิญญาณได้แล้วปีศาจตัวเล็กๆ?อย่างเขาจะขัดได้ยังไง

“เจ้าจะเอาความสามารถแสนน่าเบื่อแบบนั้นไปทำไม” คุจิกำลังจดจ่ออยู่กับถ้อยคำที่ปีศาจตรงหน้าเอ่ยออกมา จึงไม่ทันได้รู้สึกตัวว่า น้ำเสียงที่ปีศาจตนนั้นพูดออกมานั้นแปลกออกไป


“ก็จะเอาไปทำลายไอ้พวกโง่เง่าข้างนอกนั่นน่ะสิ” คุจิตะโกนใส่อย่างเดิดดาน เจ้าปีศาจงี่เง่านี่จะยึกยักอะไรนักหนา ไม่ยอมบอกมาสักที


“อ๋อ เจ้าอยากจะกำจัดพวกมนุษย์สินะ” เจ้าปีศาจถามอย่างหยั่งเชิง คุจิเพียงแค่พยักหน้ารับอย่าส่งๆ


“ถ้าแค่นั้นข้าก็ทำได้ไม่เห็นต้องถึงมือท่านราชาเลย..”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำเลยสิ! รีบกำจัดพวกมันไปให้พ้นๆสายตาฉันสักที พวกมันทั้งหนวกหู น่ารำคาญ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง!!!” คุจิตะโกนก้องอย่างเกรี้ยวกราดซึ่งปะปนด้วยความยินดี เขาจะได้ล้างแค้นแล้ว ล้างแค้นพวกงี่เง่าที่เอาความสุขสงบไปจากเขา


“เริ่มจากแถวๆนี้ก่อนแล้วกัน” ปีศาจตนนั้นทำท่าครุ่นคิด


“เอาเลย จะช้าอยู่ทำไม...” ก่อนที่คุจิจะทันได้พูดจบ มือหยาบกร้านของปีศาจตนนั้นก็พุ่งเข้าหาเขาทันที


“เจ้าเองก็เป็นมนุษย์เริ่มจากเจ้าก่อนแล้วกัน” ปีศาจตนนั้นพูดเพียงแค่นั้น ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะเลือนหายไปจากประสาทรับรู้ของเขา เขาไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ความแค้นของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทมันเพื่ออะไร! ก่อนสติสุดท้ายจะดับลงความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว อย่างน้อยเจ้าปีศาจนั่นก็จะฆ่าคนอื่นด้วย ถึงจะไม่ได้เห็นพวกมันดับศูนย์ด้วยตา แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ล้างแค้น ฮ่าๆๆ


ภาพสุดท้ายที่ก่อนที่สติของคุจิจะหลุดออกไปโดยสมบูรณ์นั้น เขาได้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ที่มีเส้นผมสีชา กับนั้นตาสีม่วงคู่คมทรงเสน่ห์ เดินออกมาจากเงามืดด้านหลังปีศาจที่ได้คร่าชีวิตของเขาไป


“อี๋ ข่างเป็นวิญญาณที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนี้ ขนาดวิญญาณยังมีแต่ความเคียดแค้น ความเกลียดชังเต็มไปหมด” ปีศาจตนนั้นพลิกดูวิญญาณที่เป็นเหมือนก้อนพลังงานก้อนกลม ที่เขาดึงออกมาจากร่างของมนุษย์ผู้อัญเชิญเขา


“ทำได้ดีมาก เข้าใจเรื่องกฎหมายวิญญาณอยู่เหมือนนี่ ตอนแรกข้าก็กังวลว่าเจ้าจะเข้าใจที่ข้าสื่อรึเปล่า” เสียงเสียงเดียงกับที่เคยดังในหัวของเขาดังมาจากข้างหลังเขา


เจ้าปีศาจค่อยๆหันศีรษะที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาดๆหันไปมองผู้มาใหม่ ด้วยรู้อยู่ในใจว่าปีศาจที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาจะต้องเป็นปีศาจระดับสูงอย่างแน่นอน เขาจึงเตรียมใจไว้แล้วแต่พอได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆเท่านั้น ขาที่เคยยืนอย่างมั่นคงก็ราวกับจะหมดแรงเอาดื้อๆ


องค์ชาย เสียงครางเบาๆดังออกจากลำคออย่างยากลำบาก ก่อนขาที่ดูเหมือนจะไม่มีแรงก็ทรุดลงกับพื้นทันที


ไซน์มองดูปีศาจระดับชาวบ้านที่มองเขาด้วยดวงตาหวั่นเกรง ดวงตาที่เป็นลูกไปพลิ้วไหวนั้นเกิดอาการหดเล็กลงทันทีที่รับรู้ว่าตนกำลังเผชิญกับใคร ราวกับกลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจหรืออย่างไรถึงได้รีบทรุดลงหมอบกับพื้น พร้อมกับละลักพูดออกมาทันที


“ข้าน้อยเป็นนักศึกษาวิญญาณขอรับ เลยพอจะมีความรู้เรื่องกฎหมายวิญญาณบ้าง ขะ...ข้าน้อยคิดว่าองค์ชายคงจะต้องการให้ข้าน้อยดึงวิญญาณของมนุษย์คนนั้นออกมาก็เลย...” ทั้งๆที่หน้าและตัวยังก้มราบอยู่กับพื้นอย่างไม่กล้าสบตาองค์ชาย แต่มือทั้งสองข้างก็ชูดวงวิญญาณดังกล่าวยื่นไปทางที่ไซน์ยืนอยู่


ไซน์หยิบดวงวิญญาณขึ้นมาพิจารณาก่อนจะยื่นไปตรงบริเวณเงามืดที่มืดที่สุดในห้องก่อนจะเอ่ย

“เจฟ เอาเจ้านี่ไปให้ฝ่ายพิพากษา ตัดสินว่าจะทำยังไงกับดวงวิญญาณนี่ดี แล้วก็บอกฝ่ายธุการให้ออกประกาศษณียบัตรเรื่องที่ปีศาจตนนี้ให้ความร่วมมือในการจับกุมด้วยล่ะ”


เงามืดบริเวณนั้นจู่ๆก็ปรากฏมือผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกออกมารับดวงวิญญาณดวงนั้นไป

“ขอรับท่านไซน์” เจ้าของมือผอมแห้งที่ชื่อเจฟตอบรับเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหดมือข้างนั้นหายเข้าไปในเงามืดพร้อมกับดวงวิญญาณของอาจารย์ประจำห้องพยาบาลที่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะกลายเป็นเพียงอดีต...


“ส่วนเจ้าเงยหน้าขึ้นทมาเถอะ...ข้าบอกให้เงยหน้าขึ้นมาไง” ไซน์พูดซ้ำประโยคหลังอย่างเหนื่อยใจ เมื่อปีศาจตรงหน้าตนยังหมอบราบอยู่กับพื้นและไม่มีทีท่าว่าจะยอมลุกขึ้น ไซน์จึงจัดการหิ้วกึ่งกระชากผ้าคลุมศีรษะนั้น จนเจ้าของผ้าคลุมต้องเงยหน้าขึ้นตามแรงฉุดขึ้นมา


“มองตาข้า” ไซน์สั่งนิ่งๆ ซึ่งเจ้าปีศาจก็ทำตามอย่างกล้าๆกลัว พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา ไซน์มองปีศาจตนนั้นด้วยรอยยิ้มนิดๆ เพราะเขารับรู้ได้ว่าปีศาจตนนี้ไม่ได้สั่นเพราะเกรงกลัวเขา แต่เป็นความยำเกรงและความศรัทธาที่มอบให้บิดาของเขาต่างหากที่ทำให้ปีศาจตรงหน้าเป็นแบบนี้


“ข้าต้องขอขอบใจเจ้ามากที่ให้ความร่วมมือในครั้งนี้ เดี๋ยวทางเราจะส่งหนังสือขอบคุณที่เจ้าช่วยเราไปให้ แล้วก็นี่บัตรเชิญร่วมงานเลี้ยงครบเดือนของน้องข้า รู้แล้วใช่มั้ยว่าราชินีให้กำเนิดบุตรอีกคนน่ะ” ไซน์ว่าก่อนยัดแผ่นป้ายทองคำแผ่นบางที่มีตราราชวงศ์สลักอยู่พร้อมคำเชิญเขียนอยู่ยัดลงไปในเสื้อคลุมที่ขาดรุ่งริ่งตัวนั้น ทำเอาปีศาจเจ้าของเสื้อคลุมทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว


“ข้าว่าเจ้ารีบกลับเถอะ เดี๋ยวที่รักของเจ้าจะโกรธเอา” ไซน์พูดด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะผลักปีศาจตนนั้นเบาๆให้ลอยเข้าช่องว่างมิติด้านหลังเข้าไป พร้อมทั้งแอบยิ้มในใจ ทีนี้ก็จะได้ไม่ต้องไปงานที่คนเยอะแสนเยอะนั่นแล้ว...


เจ้าปีศาจได้แต่งงงวยและไม่เข้าใจไปอีกพักใหญ่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และยิ่งงงเข้าไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่องค์ชายพูด องค์ชายรู้เรื่องที่รักของเขาได้อย่างไร อ่า พระองค์ช่างเอาใจใส่ประชาชนไม่แพ้ท่านองค์ราชาเลย?


แต่ก่อนที่เขาจะได้ซาบซึ้งถึงความห่วงใยที่พระองค์มีให้ไปมากกว่านี้ ช่องทางมิติที่องค์ชายเปิดให้ก็ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือภาพที่รักของเขากำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าในห้องนั่งเล่น องค์ชายทรงรู้พิกัดบ้านของเราด้วย พระองค์ช่างเอาใจใส่พวกเราจริงๆ


“ที่รักข้ากลับมาแล้ว...”

“เจ้าหายไปไหนมาน่ะ ข้ารอเจ้านานมากเลยรู้มั้ย” ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนโซฟาผุดลุกขึ้นมาเผชิญหน้าเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงแกมโมโห

“ข้าขอโทษ แต่เจ้าดูนี่สิว่าข้าได้อะไรมา” เขาหยิบเอาบัตรเชิญสีทองที่องค์ชายให้เขาออกมาโชว์ให้ที่รักดู ที่รักต้องดีใจแน่ๆเห็นบ่นว่าอยากไป


แต่กลับไม่เชิงเป็นอย่างที่คิด ที่รักตกใจก็จริง แต่ไม่เห็นเค้าแววดีใจเลยสักนิด ทำไมนะ

“นี่เจ้าไปขโมยมันมาจากไหนน่ะ รู้ไม่ใช่เหรอว่าโทษการลักโขมยมันร้ายแรงน่ะ” ที่รักตวาดใส่เขารุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


“ข้า..อึก...ไม่ได้ขโมย...ฮึก...สักหน่อย..องค์ชาย..ไซน์...ให้มา...ฮึก..ต่างหาก...โฮ” เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ทำไมที่รักต้องตวาดเขาด้วย เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ฮือ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นได้ไม่นานก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่มาจากอ้อมกอดแกร่งที่เข้ามากอดปลอบประโลม


“ทำไมเจ้าไม่บอกก่อนล่ะ ไม่เอาร้องแล้วนะ” ที่รักเอ่ยปลอบเขาคำแล้วคำเล่า จริงๆเขาหยุดร้องไปได้สักพักแล้วแต่ด้วยความว่าอยากอยู่ในอ้อมกอดนีต่อเลยไม่พูดอะไร


“ว่าแต่ องค์ชายให้เจ้ามาจริงๆเหรอ” เหมือนที่รักจะยังไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไหร่เลยถามซ้ำ ซึ่งเขาก็พยักหน้าอยู่กับอ้อมอกตอบกลับไป


“องค์ชายทรงมีน้ำพระทัยยิ่งนัก ที่ให้เจ้าขนาดนี้”


“องค์ชายเปิดมิติมาถึงบ้านให้ข้าด้วยล่ะ ไม่งั้นข้าคงต้องเดินไกล”


สองศรีคู่รักยังคงสนทนาเรื่องขององค์ชายองค์นี้ต่อไปโดยพร้อมใจกันลงความเห็นว่าองค์ชายของพวกเขาช่างเป็นคนที่มีพระปรีชา และมีความเอาใจใสแก่ประชาชนเหลือคะนานับได้?



มืดจังเลย เมื่อไหร่ไฟจะซ่อมเสร็จนะ นี่มันก็เกือยชั่วโมงเล้วด้วย มาสะและผู้เข้าประกวดอีกหลายชีวิตนั่งเบื่ออยู่ด้านหลังเวทีที่ตอนนี้ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ จะอาศัยก็เพียงแค่แสงสว่างที่ลอดผ่านมาจากทางหน้าต่างเท่านั้น


บรรดาทีมงานต่างช่วยกันกระพือพัดสิ่งของต่างๆที่สามารถใช้พัดได้ให้แก่บรรดาผู้เข้าประกวด ที่ตอนนี้ต่างรู้สึกร้อนอบอ้าวเนื่องจากการอยู่กันแออัดในที่ที่ลมไม่ผ่านนัก


มาสะปลีกตัวแยกออกมาจากบรรดาผู้เข้าประกวดที่อยู่อีกด้าน เขายืนรับลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกฉากขนาดใหญ่วางบังเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าทางนี้ก็มีหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ทำใหเขาสามารถอยู่เงียบๆได้อย่างเป็นส่วนตัว


มาสะเหม่อมองออกไปด้านนอกของหน้าต่าง ใจก็พะวงนึกถึงไซน์ ตอนนี้ไซน์จะอยู่ที่ไหนนะ นั่งรออยู่ในหอประชุม หรือว่าเดินเล่นอยู่ตามซุ้มรึเปล่า หรืออาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง...


ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการคงไม่พ้นการได้พบไซน์ในเวลาที่เงียบเหงาแบบนี้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าไซน์เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเข้ามาได้อย่างไร ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าถ้าต้องกลับไปอยู่คนเดียวเหมือนก่อนที่จะได้พบกับไซน์ เขาคงทนไม่ได้แน่ๆ เขารู้แค่ว่าทุกครั้งที่เขาอยู่คนเดียวเขาจะนึกถึงคนคนเดียวเสมอ นั่นคือไซน์ ตอนนี้เองก็เช่นกัน เขาคิดถึงไซน์เหลือเกินทั้งๆที่เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่นานนี้เอง


เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ของตัวเองเลย มันทำให้เขากลัว กลัวว่าเมื่อถึงวันที่เวลาหมดลงเขาจะตัดใจจากไปอย่างที่เคยคิดไว้ไม่ได้ ทั้งที่ตัวเขาเองตอนนี้ก็อยากที่จะพบ อยากพูดคุย อยากได้กำลังใจ อยากกอดไซน์มากแท้ๆ แต่เขากลัว กลัวว่าถ้าตอบรับคำรักนั้น เขาจะแบกรับมันไว้ไม่ไหว แล้วจะมีอะไรมาประกันว่าวันหนึ่งไซน์จะไม่ทิ้งเขาไปแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียว เขากลัว นี่เขากลายเป็นคนขี้กังวลไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ....


“เหงารึเปล่า ขอโทษที่มาหาช้านะ” เสียงทุ้มนุ่มที่แสนคิดถึงกระซิบเบาข้างหูเขา อ้อมกอดอบอุ่นที่สวมกอดทางด้านหลัง กระชับร่างสองร่างให้แนบชิดกัน เขากลัวเหลือเกิน กลัวใจตัวเองที่เผลอไผลทุกครั้งที่ถูกกอด ถูกสัมผัส ทำไมหัวใจของเขาถึงต้องเต้นระรัวทุกครั้งที่ใด้ยินเสียงทุ้มนั่นด้วยนะ ไม่ชอบเลยจริงๆ.....


-----------------


ตอนต่อไป: ตอนที่ 10

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่8: ก่อนเริ่มงาน

ตอนที่8: ก่อนเริ่มงาน

เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กเงียบสงบลงเมื่อมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องเรียน

“อาจารย์ใหญ่กล่าวเปิดงานเสร็จแล้ว ให้ผู้เข้าประกวดไปเตรียมตัวหลังเวทีภายใน30นาที ถ้ามาสายจะถือว่าสละสิทธ์”

แทบจะทันทีเมื่อประโยคได้สิ้นสุดลง ความเงียบเพียงชั่วครู่ ก็กลายเป็นเสียงอึกทึกคึกโครมขึ้นยิ่งกว่าตอนแรกอย่างเทียบไม่ติด เสียงตะโกนโหวกเหวก ของหลายๆคนที่หันไปทางห้องแต่งตัว ของอีกหลายๆคนที่เริ่มโวยวายเพราะความกังวล

“เสร็จรึยัง!

“รีบๆหน่อยเวลาไม่มีแล้วนะ!

“จะทันมั้ยเนี่ย!

“เหลืออีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”

ปี2ห้อง3ทุกคนกำลังลุ้นกันตัวโก่งว่า เพื่อนๆของพวกเขาจะแต่งตัวเสร็จทันเวลาหรือไม่

เข็มนาฬิกาบอกเวลายังคงเดินต่อไป ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือเดินช้าลงเลยแม้แต่น้อย อีก15นาที’ ประโยคสั้นๆนี้ดังขึ้นในใจของทุกๆคน สายตาหลายคู่จ้องมองนาฬิกาสลับกับผ้าม่านผืนใหญ่ที่ถูกกันเป็นห้องแต่งตัว

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออก เสียงเข็มวินาทีที่เดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงข้าวของขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยที่ดังผ่านม่านออกมา

“เสร็จแล้ว!!!” ราวกับผ่านไปนานแสนนาน น้ำเสียงยินดีถูกเปล่งออกมาจากเบื้องหลังม่านกั้น ก่อนปรากฏทีมช่างฝีมือประจำห้องที่ร่วมด้วยช่วยกันแปลงโฉมผู้เข้าประกวดของพวกเขา เดินออกมาพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ และตามมาด้วยคน2คนที่ตอนนี้มีผ้าคลุมขนาดใหญ่คลุมไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“คลุมผ้าไว้ทำไมล่ะ” เสียงร้องถามจากเด็กนักเรียนคนหนึ่ง

“จะได้ไม่มีใครเห็นก่อนขึ้นเวทีไง รับรองว่าถ้าวัดกันที่เรื่องความหล่อความสวยล่ะก็ ห้องเราไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน” หัวหน้าทีมช่างแต่งตัวกล่าวอย่างมั่นใจ

“ยังไม่รู้ผลแน่หรอกนะ เพราะเรายังไม่รู้เกณฑ์ตัดสิน ดังนั้นอย่าประมาท แต่ครูว่าพวกเธอรีบพา2คนนั้นไปหลังเวทีดีกว่านะ เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง10นาทีแล้ว” อาจารย์คุโรคาวะเอ่ยเตือนนักเรียนในปกครองของตน ที่ตอนนี้มัวแต่สนใจผู้เข้าประกวดทั้งสองจนดูเหมือนจะลืมเรื่องเวลาไปเสียแล้ว

และดูเหมือนจะเป็นดังคาด เมื่อนักเรียนส่วนใหญ่มีอาการสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเวลา พวกเขาจึงรีบพาทั้งสองคนออกจากห้องไปทันที ตามคำเตือนของผู้เป็นอาจารย์

ขณะที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากห้องนั้น มาสะก็ได้ยินเสียงของไซน์ที่ดังเหมือนกับกำลังกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเขา ทั้งที่จริงๆแล้วเจ้าตัวอยู่ห่างออกไปหลายเมตรเลยทีเดียว

“พยายามเข้านะ ฉันจะรอดูอยู่ข้างล่าง” มาสะหันไปมองไซน์เล็กน้อย สายตาของเขาบังเอิญไปสบกับนัยยน์ตาสีม่วงคู่สวยเข้าพอดี ไซน์ยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนส่งเสียงกระซิบของตนไปหามาสะอีกครั้ง

“ถ้าชนะ เดี๋ยวจะมีรางวัลให้” มาสะรีบเบือนหน้าหนี แล้วเพิ่มจังหวะในการก้าวเดินทันที
พอคิดว่าไซน์จะต้องเห็นเขาในสภาพน่าอายแบบนี้แล้ว...

ถึงเพื่อนๆจะบอกว่าแต่งออกมาได้ดีก็เถอะ...
มาสะแอบลอบถอนหายใจเบาๆเพื่อไม่ให้เพื่อนๆที่อยู่รอบตัวเขาได้ยิน ในใจก็คิดว่าตนเองคงทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี ยังไงไซน์ก็ต้องเห็นแน่ๆ แถมจะหนีก็ไม่ได้ เพราะยังมีเพื่อนๆที่ตั้งความหวังไว้กับเขาอยู่...

ไซน์มองตามร่างบางที่เดินออกไปด้วยแววตาพราวระยับ ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องบ้าง เพียงแต่เส้นทางที่เขาเดินไปนั้น เป็นทางตรงข้ามกับที่มาสะเดินไปเท่านั้นเอง….


บริเวณทางเข้าหอประชุมตอนนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือแม้แต่ผู้ใหญ่วัยทำงานบางคน ที่พร้อมใจกันเดินเข้าหอประชุมเพื่อเข้าไปชมงานประกวดที่ขึ้นชื่อของโรงเรียน โรงเรียนเพียงแห่งเดียวในเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ แต่ถึงแม้งานในวันนี้จะเป็นที่นิยมเพียงใด แต่ก็ยังมีคนคนหนึ่งที่ปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวายนั้น

เบื้องหลังผ้าม่านสีขาวที่กำลังปลิวไสวด้วยสายสมที่พัดผ่านเข้ามา ปรากฏร่างสูงใหญ่ที่กำลังทอดสายตามองไปทางผู้คนมากมายด้วยสายตาเย็นชา 

เหล่าผู้คนมากมายไม่เคยมีความหมายใดๆกับเขาเลย ยิ่งรวมกับเสียงดังแสนหนวกหูนั่นแล้ว เขาอยากจะกำจัดมันทั้งหมดให้สูญหายไปจากโลกนี้ซะจริงๆ!!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาสะอาดสะอ้าน และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องปี2ห้อง3 อาจารย์คุโรคาวะ ชูเซย์นั่นเอง

“อ้าว อาจารย์คุจิยังอยู่เหรอครับเนี่ย ผมนึกว่าคุณลงไปรอดูงานเหมือนคนอื่นๆแล้วซะอีก” อาจารย์คุโรคาวะเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง ซึ่งอาจารย์คุจิที่เป็นอาจารย์ประจำห้องพยาบาลแห่งนี้ ก็ละออกจากหน้าต่างแล้วหันมายิ้มแย้มทักมายตอบเช่นกัน

“พอดีเหลือตรวจความเรียบร้อยของเครื่องมือนิดหน่อยน่ะครับ ว่าแต่อาจารย์คุโรคาวะเป็นอะไรรึเปล่าครับถึงได้มาห้องพยาบาล” 

“อ๋อ ผมมาขอพลาสเตอร์ปิดแผลน่ะครับ พอดีนักเรียนของผมไม่ระวังโดนคัตเตอร์บาด แต่ไม่ยอมมาห้องพยาบาลเพราะกลัวดูการประกวดไม่ทันน่ะครับ” อาจารย์คุจิพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหยิบของที่ต้องการยื่นให้ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ถ้ายังไงดูการประกวดเสร็จแล้วอย่าลืมบอกให้เด็กคนนั้นมาตรวจหน่อยนะครับ เพราะอาจเป็นบาทยักได้” อาจารย์คุโรคาวะพยักหน้าตอบก่อนมองของในมืออย่างพึงพอใจ และทำท่าว่าจะเดินออกไป แต่ก็หันมาถามอาจารย์คุจิด้วยเสียงเป็นมิตรว่า

“แล้วอาจารย์จะไปด้วยกันมั้ยครับ”

“เชิญอาจารย์คุโรคาวะไปก่อนเลยครับ ผมเหลืองานอีกนิดหน่อยแล้วถึงจะลงไป” อาจารย์คุจิตอบกลับด้วยรอยยิ้มสุภาพ แม้ภายในใจจะเริ่มรำคาญบุคคลตรงหน้ามากขึ้นทุกที หมอนี่เป็นบ้าอะไร ได้ของที่ต้องการแล้วก็ออกไปสิ จะมายืนทำหน้าเซ่ออยู่อีกทำไม

“อย่างนั้นเหรอครับ ถ้ายังไงก็รีบๆไปนะครับ ผมล่ะอยากให้อาจารย์เห็นของห้องผมจริงๆทำกันออกมาได้อย่างนี้” อาจารย์คุโรคาวะฉีกยิ้มกว้างพร้อมกัยชูนิ้วโป้งให้เป็รการการันตีความยอดเยี่ยม

หลังจากที่อาจารย์คุโรคาวะเดินออกไปแล้ว ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนและประดับด้วยรอยยิ้มแสนสุภาพ ก็พลันหายไป ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเย็นชาที่ถูกตกแต่งด้วยแววตาเย็นยะเยือกที่มีท่าทีรังเกียจต่อทุกสิ่งอย่าง เข้ามาแทน

เขาจัดการล็อกประตูห้องที่ด้านหน้าประตูมีป้ายแปะไว้ว่าห้องพยาบาล แล้วทำการปิดหน้าต่าง ก่อนกระชากผ้าม่าน ให้ปิดตัวลงบดบังแสงอาทิตย์ยามสายที่สาดส่องเข้ามา เป็นผลให้ห้องสีขาวที่เคยสว่างไสว ดูอึมครึมขึ้นทันตา...


ไซน์เฝ้าดูเหตุการณ์ณืที่เกิดขึ้นอยู่เงียบๆจากมุมมืดมุมหนึ่งในห้องพยาบาลแห่งนั้น มองดูการกระทำทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผู้ชายคนนั้น คุจิ คาซึมะ เป็นคนที่อยู่ในรายชื่อต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษของแดนปีศาจ 

เนื่องจากลูกน้องคนสนิทของเขาสืบได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังมีแผนการบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบทั้งต่อโลกมนุษย์และปีศาจ ซึ่งมีหมายกำหนดการว่าจะเริ่มวันนี้ ด้วยตำแหน่งหน้าที่เจ้าชายปีศาจที่ค้ำคอ เขาจึงต้องมาตรวจดูด้วยตนเองอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไซน์ยังคงเฝ้าดูคุจิที่ตอนนี้กำลังพยายามใช้ชอร์กเขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้นห้องอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ภายในใจเขากำลังคิดถึงภรรยาในอนาคตของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้มาสะจะขึ้นเวทีไปรึยัง เขาอยากไปดูมาสะของเขาเหลือเกิน แอบภาวนาในใจว่าเขาจะสามารถจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนมาสะจะขึ้นเวที

อีกด้านหนึ่ง คุจิกำลังยิ้มกระหยิ่มย่องอยู่ในใจ อีกไม่นาน อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น เขาก็จะสามารถทำความต้องการของตัวเองให้เป็นจริง ขอเพียงแค่เขาได้พลังนั้นมาเท่านั้น แล้วทีนี้ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือ อยู่ในการควบคุมของเขาด้วยพิธีกรรมโบราณนี้ จะไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งของเขาได้อีกแล้ว ทุกคนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขาทำตามทุกอย่างที่เขาต้องการ....

ไซน์พยายามทำเป็นไม่สนใจต่อความรู้สึกนึกคิดชั่วร้ายที่แผ่อารมณ์ด้านลบออกมาอย่างมากมายมหาศาล เฮ้อ อยากไปหามาสะจังเลย...

ขณะเดียวกันคนที่ไซน์กำลังคิดถึงอยู่นั้นตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับจำนวนคนที่อยู่ด้านล่างเวทีจนอยากจะวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนี้

ถึงเขาจะรู้ว่างานโรงเรียนได้รับความสนใจจากทั้งคนนอกและคนในทุกปี แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนมาดูเยอะขนาดนี้ นี่ขนาดว่างานยังไม่เริ่มคนยังขนาดนี้ เขาไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าถึงเวลางานเริ่มแล้วคนจะเยอะขนาดไหน

“ตื่นเต้นเหรอ อิซึกิ” อาซาโนะที่ลงประกวดด้วยกันถามขึ้น

“ครับ...ผมไม่ชินกับการถูกคนเยอะๆจ้องน่ะครับ มันทำให้รู้สึกประหม่า” มาสะตอบตามตรง

“ฉันก็เหมือนกัน แต่ว่าถ้าพวกเราชนะจะได้ไปทะเลกันใช่มั้ย ฉันพยายามคิดถึงมันจะได้ไม่ตื่นเต้น ฉันยังไม่เคยไปทะเลสักครั้งเลย อิซึกิล่ะเคยไปรึเปล่า” อาซาโนะพูดถึงทะเลด้วยแววตาเป็นประกาย นั่นทำให้เขาได้เห็นอีกแง่มุมของเพื่อนสาวสุดห้าวประจำห้องที่เขาไม่ค่อยสนิทด้วยมากเท่าไหร่

“เคยไปตอนเด็กครั้งเดียวครับ จำไม่ค่อยได้แล้วด้วย” มาสะยิ้มแหยให้อาซาโนะเมื่อเธอมองเขาราวกับว่าต้องการให้เขาเล่าเรื่องทะเลให้ฟัง

“เหรอ...น่าเสียดายจัง” 

“ไม่เป็นไรหรอกครับถ้าพวกเราพยายามเต็มที่พวกเราอาจได้ที่1ก็ได้นะครับ” มาสะพยายามพูดปลอบใจอาซาโนะ

“ไม่ใช่อาจจะ แต่พวกเราต้องคว้ารางวัลที่1 พร้อมกับรางวัลไปเที่ยวทะเลมาให้ได้” อาซาโนะพูดอย่างหมายมั่น ด้วยแววตาแรงกล้า มาสะอยากจะบอกเธอจริงๆว่าตอนนี้เธอดูหล่อมาก หล่อกว่าผู้ชายหลายๆคนที่เขารู้จักเสียอีก....


“สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้กระผม นากาฮาระ คิโยชิ รับหน้าที่เป็นพิธีกรประจำงานประกวดครั้งนี้ครับ” เสียงจากด้านหน้าเวทีดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน ทั้งผู้เข้าชมและบรรดาผู้เข้าประกวดที่ได้รับรู้ว่า อีกไม่กี่อึดใจงานก็จะเริ่มขึ้นแล้ว

“ทุกท่านคงทราบกันดีแล้วว่า ทุกๆปีที่โรงเรียนของเราจะมีการจัดงานประกวดที่เป็นไฮไลท์ของงานเรา ซึ่งงานประกวดนั้นจะเปลี่ยนไปทุกปี เพื่อความสนุกสนานของทุกท่าน และปีนี้การประกวดที่ทางโรงเรียนได้จัดขึ้นนั้นคือ......”พิธีกรเงียบเสียงไปพักหนึ่งราวกับต้องการกระตุ้นอารมณ์คนดู

“การประกวด Prince& Princess ครับ!!!!” ทันทีที่พูดจบก็เกิดคลื่นเสียงจำนวนมากดังจากเหล่าบรรดาคนดูเรื่องงานประกวดที่สุดแสนจะธรรมดา

“ทุกท่านอย่าเพิ่งโวยวายหรือลุกออกไปนะครับ เพราะการประกวดของเราไม่เหมือนที่อื่นๆแน่นอน เพราะผู้ที่จะลงประกวดตำแหน่งPrinceหรือเจ้าชายได้นั้นจะต้องเป็นเพศหญิงเท่านั้นครับ ซึ่งแน่นอนว่าตำแหน่งเจ้าหญิงเองก็ต้องเป็นเพศชายเท่านั้นที่ลงได้” เริ่มเกิดเสียงพูดคุยกันขึ้นอีกครั้ง บรรดาผู้ชมเริ่มพูดคุยกันว่าปีนี้คงได้ดูอะไรฮาๆอีกแน่เลย

“เริ่มสนใจกันแล้วใช่มั้ยครับ ก่อนจะเปิดตัวผู้เข้าประกวด ผมคงต้องขอให้ทุกท่านปรบมือต้อนรับคณะกรรมการทั้ง4ท่านของเราก่อน” เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของบรรดาอาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำวันนี้

เก้าอี้กรรมการถูกเรียงจัดไว้ด้านหน้าของคนดูในมุมที่สามารถเห็นผุ้เข้าประกวดได้ชัดเจนที่สุด

ขณะที่พิธีกรกำลังแนะนำกรรมการแต่ละท่านอยู่นั้น ด้านหลังเวทีที่ทีมงานส่วนใหญ่เป็นนักเรียนของปี2ห้อง3ก็เรียกระดมผู้เข้าประกวดให้เข้าแถวตามลำดับเตรียมออกไปโชว์ตัวแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าทางทีมงานก็แอบกระซิบให้กำลังใจกับตัวแทนผู้เข้าประกวดจากห้องของตัวเองอยู่เป็นช่วงๆ


ทางด้านคุจิที่เตรียมการทุกอย่างที่เขาต้องการเสร็จแล้ว กำลังเริ่มดำเนินการพิธีกรรมที่ตัวเองมาดหวังด้วยความยินดี หึหึหึ....ในที่สุด.....


เข้าใจนักเขียนที่ดองงานก็ตอนที่เจอกับตัวนี่แหละ!!

ก่อนอื่นบอกเลยนี่ไม่ใช่บทความมีสาระอะไร แค่รู้สึกว่าอยากจะเขียนมันออกมาเฉยๆ ไม่มีอะไรมากค่ะ 555+

เมื่อก่อนสมัยที่ยังเขียนนิยายอัพขึ้นเว็บเด็กดีอย่างสม่ำเสมอ จำได้ว่ากำหนดไว้ว่าจะอัพทุกวันเสาร์ เราก็สามารถเขียนให้ทันกำหนดได้ทุกอาทิตย์ทั้งๆที่เรียนก็หนัก การบ้านก็เยอะ รับถักตุ๊กตาโครเชต์ตามออเดอร์อีก แถมอาทิตย์ไหนที่หัวแล่นๆ จินตนาการบรรเจิด เขียนตุนได้ได้ทีละ2-3ตอนเลยทีเดียว แล้วเวลายังเหลือพอให้ไปสังสรรค์กระชับมิตรภาพกับเพื่อนๆ รวมถึงอ่านนิยายฝีมือนักเขียนคนอื่นๆอีกต่างหาก ช่วงนั้นเวลาเจอนิยายเรื่องไหนสนุกๆแล้วนักเขียนเขาดอง หรือนานๆจะอัพสักที เราก็มักจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าเราก็ยุ่งขนาดนี้เรายังอัพได้สม่ำเสมอเลย ทำไมเขาทำกันไม่ได้หว่า หัวไม่แล่น? มันไม่แล่นขนาดนั้นเลยเหรอ?

แต่พอขึ้นปี3 การเรียนหนักยิ่งขึ้น การบ้าน รายงานเยอะเหมือนเดิม แถมมีสิ่งที่เรียกว่าโปรเจ็คเข้ามารวมด้วย ยิ่งกว่านั้นอาจารย์ยังคาดหวังให้โปรเจคนี้ยื่นส่งเป็นเปเปอร์ทางวิชาการอีก เครียดสิคะพี่น้อง เพื่อนร่วมชั้นปีที่ว่างๆดูหนังฟังเพลง เรื่อยๆไปวันๆยังแทบกระอักเลือด แล้วเราล่ะนิยายก็ต้องแต่ง ตุ๊กตาก็ต้องถัก(ออเดอร์peakมากช่วงนั้น คิวนี่ยาวไป3-4เดือนเลย) เครียดเลยค่ะ เครียดมาก ช่วงแรกๆยังดีที่มีตอนที่แต่งแล้วตุนเอาไว้ ยังพอจัดการเวลาได้ แต่งอาทิตย์เว้นอาทิตย์ก็ยังอัพได้ตามที่สัญญาไว้

พอเวลาผ่านไปตอนที่ตุนไว้เริ่มหมด เส้นตายโปรเจคก็ใกล้เข้ามา ตอนนั้นคือสัญญาว่าจะอัพวันเสาร์ ก็แต่งมันเช้าวันเสาร์แหละค่ะ จากที่เคยเขียนลงสมุดก่อน ก็แต่งสดพิมพ์สดลงคอมเลย อ่านตอนเช็คคำผิด 1 รอบแล้วก็อัพเลยค่ะ รู้สึกว่าก็ยังไหวเราทำได้ เราบริหารเวลาได้ เหนื่อยแค่นี้เอง

แต่พอฤดูสอบใกล้เข้ามา มันเท่ากับว่าเส้นตายโปรเจ็คก็ใกล้เข้ามาด้วย จำได้เลยค่ะว่าตอนนั้นมันเหนื่อยมาก เรียนเช้า(ถักออเดอร์ใต้โต๊ะ พร้อมจดโน๊ตเรียนตรงส่วนสำคัญ) เที่ยงกินข้าวแว่บไปทำโปรเจค บ่ายเรียนต่อ(ก็ยังถักออเดอร์ต่อไป) เย็นโปรเจคกันถึง 3ทุ่มครึ่ง กลับหอ(หอในปิดประตู4ทุ่ม) อาบน้ำอะไรเสร็จ เพื่อนที่เป็นเมทกันเขาก็ผ่อนคลายนอนดูหนังฟังเพลง บางคนก็อ่านหนังสือสอบ เราน่ะเหรอ กางชีทเรียนที่จะอ่านสอบ มือก็ถักตุ๊กตาไป ตาก็อ่านชีทไป มือพักไปไฮไลท์ส่วนสำคัญ แล้วก็ถักตุ๊กตาต่อ คือชีวิตเป็น Multitask จริงๆ ทำหลายๆอย่างพร้อมๆกัน

เพื่อนยังถามเลยว่า "นี่ยังแต่งอยู่อีกเหรอนิยายเนี่ย นึกว่าเลิกไปแล้วซะอีก" และ "ตุ๊กตามันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอจะสอบแล้วพักอ่านหนังสือก่อนไม่ดีกว่าเหรอ หลังสอบก็พรีเซ็นต์โปรเจ็คต่ออีก" คือตุ๊กตานี่เป็นออเดอร์ที่เขาต่อคิวยาวรอมาหลายเดือน อาทิตย์หน้าเขาจะเอาไปให้วันเกิดแฟนแล้ว เราก็ไม่อยากเสียคำพูดที่ว่าจะทำให้เสร็จก่อนถึงวันเกิด เรื่องนิยายอีก คนอ่าน คนติดตามก็เยอะอยู่ เพื่อนกันที่่อ่านนิยายเรายังถามเลยว่า ตอนต่อไปเสร็จรึยัง

วันเสาร์อีกแล้ว ดีที่เพื่อนร่วมกลุ่มโปรเจคชอบนัดสายๆ เราก็ตื่นเช้าๆมานั่งแต่งนิยายอัพตอนต่อไป ชีวิตวนเวียนประมาณนี้ได้สักพัก เริ่มไม่ไหวค่ะ เหนื่อย เพลีย หัวตื้อไปหมด งดรับออเดอร์ตุ๊กตา เรียกว่าแทบจะปิดร้านเคลียร์คิวอย่างเดียวเลย จะขึ้นปี4แล้วต้องหาที่ฝึกงานอีก นิยายเริ่มอัพอาทิตย์เว้นอาทิตย์ แต่งมาจนถึงโครงเรื่องที่เคยเอาวางไว้ตอนเริ่มเขียนใหม่ๆ หัวไม่แล่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ยังพอเขียนไปเรื่อยๆให้ลงตามโครงที่วางไว้ แต่พอโครงเรื่องมันหมด มันเหมือนเดินมาเจอทางตันเลยค่ะ ให้เรื่องไปยังไงต่อดี ไปแบบนี้ปมที่วางไว้ก็จะยิ่งผูก เดี๋ยวแก้ไม่ได้ ไปทางนี้ก็ทื่อเกินไปเดี๋ยวไม่สนุก สรุปคือ ตัน!!

ตันชนิดที่ว่ายอมลบนิยายสองหน้าที่เขียนขึ้นมาทิ้งเพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วไม่สนุก ก็เลยไปโพสบอกขอเลื่อนการอัพออกไปหลังโปรเจคเสร็จเรียบร้อย เพราะใจเราจริงๆก็อยากให้นิยายออกมาดี ไม่ใช่แค่สักแต่ว่าเขียนๆไปให้จบตอน

เราก็ตั้งใจว่าจบโปรเจ็คนี่แหละนิยายเราได้อัพต่อแน่! ยังไงก็จะไม่ดองเด็ดขาด! ตั้งปณิธานไว้ในใจ พอเอาเข้าจริง งานมัน intense ขนาดว่า ปิดเทอมใหญ่ยังไม่ได้กลับบ้านเลยจ้า นั่งทำโปรเจค แก้แล้วแก้อีก ร่างเปเปอร์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แถมงานตกใส่หนักเมื่อเป็นคนที่เก่งอังกฤษที่สุดในกลุ่ม


แม่เจ้าสรุปปิดเทอมใหญ่แต่ได้กลับบ้านแค่ 1อาทิตย์เท่านั้น เปเปอร์ได้ตีพิมพ์จริง แต่ 1อาทิตย์ที่อยู่บ้านพร้อมกับการบ้านใหม่ โปรเจ็คปี 4 ทำเรื่องอะไรดี ต่อยอดของเก่า? ทำอันใหม่? แต่นี่แน่ๆต้องส่งเปเปอร์อีกใบ!

หัวข้อโปรเจคยังคิดกันไม่ตก พับเก็บไว้ไปฝึกงาน จับพลัดจับพลูได้ไปฝึกที่ญี่ปุ่นหนึ่งเดือน ดีใจอยู่หรอกได้ไปนอก แต่เฮ้ยไม่ได้เป็นสายเขียนโปรแกรมค่ะ อ่านสิคะ เปิดtext book ฝึกเขียนส่งงานอาจารย์ทางเน็ตทุกวัน ชีวิตมีอะไรเข้ามาเยอะมากมายจนลืมเรื่องนิยายไปช่วงนึงเลย

และพอไม่ได้จับนิยายนานๆ มันก็ตื้อและตัน ชีวิตเริ่มชินกับการไม่ต้องแต่งนิยาย ไม่ต้องถักตุ๊กตา แค่เรียนอย่างเดียว เออ มันก็ว่างดีแฮะ มีเวลาทำโน่นทำนี่เยอะขึ้น แต่ก็นะคะ รู้สึกว่างเปล่า ว่างเกินไป

ทุกวันนี้ ก็เริ่มกลับมารับออเดอร์ถักบ้าง นิยายก็แล้วแต่จะนึกอยากเขียน ปีสองปีมานี้ส่วนมากแค่เขียนลงสมุดไว้ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนอย่างเมื่อก่อน

2558 ปีใหม่แล้วก็คิดนะว่าควรปรับปรุงตัวใหม่ ให้อะไรๆมันดีขึ้น กลับมาอ่านไซน์ กับ มาสะใหม่ตั้งแต่แรก (รู้สึกเหมือนไม่ได้เขียนเอง ฮ่าๆ) แล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนต่อ แต่คงเป็นไปอย่างค่อยๆ แต่ก็ตั้งใจว่าจะอัพให้จบ ไม่รู้จะสำเร็วใจปีนี้ได้มั้ย แต่จะพยายามเพื่อตัวเอง และเพื่อนักอ่านที่ยังตามอยู่นะคะ

Have_a_hope

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่7: วันงาน


ตอนที่7: วันงาน

เมื่อวานกว่ามาสะจะได้ถอดชุดน่าอาย?นั้นออกก็เป็นตอนที่ไอโด้ซึ่งเป็นคนเดียวที่ตั้งใจฟังว่ามาสะพูดอะไร เดินไปถามนั่นแหละ


วันนี้เป็นวันครบรอบการสถาปนาโรงเรียน ซึ่งจะมีกิจกรรมมากมายถูกจัดขึ้น ซึ่งรวมถึงการประกวดPrince& Princess ที่มาสะต้องเข้าร่วมด้วย

การประกวดจะมีขึ้นในช่วงเช้าหลังการกล่าวเปิดงานของผู้อำนวยการโรงเรียน ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปเตรียมงานที่โรงเรียน

แน่นอนว่ามาสะที่ไปโรงเรียนเกือบสายแทบทุกวันนั้น ย่อมวิตกว่าตนเองจะมาไม่ทันอย่างแน่นอน แม้จะไม่อยากเพียงใด แต่วันนี้มาสะจำใจต้องขอร้องไซน์ให้ช่วยปลุกเขาในเช้าวันนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้


ตอนนี้เป็นเวลา 5.45 น. นักเรียนปี3ห้อง2ทุกคนเตรียมพร้อมอยู่ที่ห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ต่างจ้องมองไปที่ประตูห้องเพื่อที่จะรอว่าเมื่อไหร่เจ้าหญิงของพวกเขาจะเข้าห้องมาสักที ทุกคนกำชับกับมาสะแล้วว่าห้ามสายเกินกว่า6.30 เด็ดขาด


           เพราะตอนนนั้นพวกเขาน่าจะแต่งตัวให้อาซาโนะที่ลงประกวดเป็นเจ้าชายเสร็จแล้ว และจะได้ทุ่มทั้งหมดมาช่วยกันแต่งตัวเจ้าหญิงของพวกเขา และถ้าหากมาสะมาสายกว่านี้เห็นทีคงแต่งออกมาไม่ได้ดังที่ตั้งไว้แน่นอน ซึ่งถ้าเกิดห้องนี้เกิดพลาดรางวัลที่มุ่งหวังไว้ล่ะก็ อาจมีบางคนที่โทษว่าเป็นความผิดของมาสะที่ทำให้พวกเขาอดไปเที่ยวได้ ซึ่งกดดันมาสะเป็นอย่างมาก



ถึงแม้ว่าเมื่อคืนมาสะจะเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มดี แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ไซน์ที่เขย่าตัวปลุกมาสะมาได้พักหนึ่งแล้ว ตัดสินใจปลุกมาสะด้วยวิธีเดิมที่เขาทำทุกๆวัน(ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยว่าวิธีอะไร) แต่ผ่านไปเกิบ10นาที มาสะก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย

“เวลากระชั้นเข้ามาแล้วสินะ” มือหนาลูบไล้ใบหน้าเนียนอย่างทะนุถนอม ก่อนแววตาอ่อนโยนคู่นั้นจะส่องประกายราวกับได้ตัดสินใจบางอย่าง

ไซน์ใช้นิ้วปาดเบาๆไปที่ข้อมืออีกข้างของตน ข้อมือข้างนั้นปรากฏรอยจางๆก่อนที่ของเหลวสีชาดจะค่อยๆไหลซึมออกมา เขาเคลื่อนแขนข้างนั้นไปจ่อที่ริมฝีปากบางของมาสะ ราวกับผ่านไปเนิ่นนาน โลหิตสีสวยค่อยๆไหลลงลำคอของร่างบางไปหยดแล้วหยดเล่า ครู่ต่อมาไซน์จึงค่อยๆละแขนข้างนั้นออกมา บาดแผลกลับค่อยๆสมานกันราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ไซน์เหม่อมองริมฝีปากที่ตอนนี้เป็นสีแดงไปด้วยเลือดของเขา ก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ แล้วประกบริมฝีปากจุมพิตอย่างหนักหน่วงแต่ว่าไม่รุนแรง...

ท่ามกลางห้วงอากาศที่ว่างเปล่า แลดูเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด...
ไม่มีสิ่งใดอยู่ที่นี่...
ไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไร...
ไม่ต้องกังวลเรื่องใด...
แค่หลับใหลอยู่ที่นี่...
ไม่ต้องทุกข์ร้อน...
ปล่อยตัวตามสบาย...
ไปกับกระแสกาลเวลา...
ค่อยๆลืมเลือนตัวตนไป...


มาสะ...มาสะ’ นั่นเสียงอะไรน่ะ


มาสะ...’ นั่นชื่อของเขาเหรอ


มาสะ...’ ใครกำลังเรียกเขาอยู่


ตื่นได้แล้วนะ... ทำไมต้องตื่นล่ะ อยู่แบบนี้สบายดีออก


นี่..จะสายแล้วนะ’ สายอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไร แล้วจะสายได้ยังไง

‘6.20แล้วนะ นัดเพื่อนไว้6.30ไม่ใช่เหรอ ....เพื่อน?...6.30…งานโรงเรียน!!

ราวกับว่ามีแรงบางอย่างฉุดกระชากรางบางอย่างแรง ก่อนที่ห้วงอากาศรอบๆตัวจะถูกบีบอัด และแตกออกอย่างกับกระจก

และเมื่อรู้สึกตัวสะดุ้งขึ้น เขาก็มาปรากฏที่เตียงแล้ว เมื่อกี้นี้ความฝันเหรอ? 

“มาสะสายจริงๆแล้วนะ” แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นเสียงทุ้มนุ่มที่ได้ยินเป็นประจำก็ดังขึ้นเพื่อเรียกสติ พร้อมกับใบหน้าที่ฉายแววกังวลของไซน์


สายแล้ว!!! มาสะกระเด้งออกจากเตียงราวกับถูกน้ำร้อนลวก ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความเร็วสูง

ทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดลง นัยน์ตาสีม่วงอเมทิธต์ที่เหม่อมองประตูห้องน้ำอยู่นั้นก็กลับค่อยๆเย็นชาขึ้นอย่างช้า เมื่อเจ้าของนัยน์ตารับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังคลืบคลานเข้ามา

“ท่านไซน์ขอรับ ช่วยดูสิ่งนี้หน่อยขอรับ” เสียงเล็กแหลมน่าเกลียดดังออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่งข้างๆเตียง พร้อมๆกับการปรากฏของลำแขนผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกสีดำ ยื่นอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกระดาษเก่าๆกับจดหมายสีขาวที่ประทับตาสีทองส่งให้ไซน์ 

ไซน์มองดูตราประทับที่จดหมายก่อนจะยัดมันเข้าไปในอกเสื้อ แล้วจึงทำการอ่านข้อความในกระดาษเก่าสีน้ำตาลอีกใบอย่างผ่านๆ ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งคืนให้มือคู่นั้นก็ตอบไปว่า

“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปดูแลงานทางนั้นต่อได้แล้ว”

“ขอรับ” แขนผอมแห้งข้างนั้นค่อยๆถอยกลับเข้าไปในเงานั้น ก่อนที่จะจมหายไปจนหมด

ไซน์เหลือบมองนาฬิกาที่ฝาผนังก่อนจะปรับสีหน้าของตนให้เข้าที่แล้วตะโกนบอกมาสะไปว่า


6.27แล้วนะ” ประตูห้องน้ำกระแทกออกทันทีที่ไซน์กล่าวจบ พร้อมกับร่างบางที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยเท่านั้นปิดช่วงล่างไว้เท่านั้นกระโจนเข้าหาตู้เสื้อผ้าทันที

ถ้าเป็นปกติมาสะไม่มีทางแต่งตัวล่อแหลมแบบนี้ให้ไซน์เห็นเด็ดขาด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมากังวลเรื่องแบบนั้นแล้ว ถ้าเขาเป็นต้นเหตุให้ทุกคนในห้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มล่ะก็ ไม่รู้ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง มาสะรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุด โดยพยายามที่จะไม่สนใจสายตาของไซน์ที่มองมาทางเขา

“หกโมงจะครึ่งแล้วนะ ถ้าวิ่งไปยังไงก็ไม่ทันเดี๋ยวฉันพาไปส่งแล้วกันนะ” ไซน์พูดโดยที่สายตายังคงไม่ได้ละไปจากร่างบอบบางตรงหน้าเลย

“อะ..อื้ม” มาสะตอบรับอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากจะรบกวนไซน์ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวจะไปสาย แล้วทำให้เพื่อนๆผิดหวัง เขาจึงจำใจตอบรับไปอย่างเสียมิได้


“เสร็จแล้ว!!!” มาสะร้องออกมาทันทีที่ติดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จ พร้อมๆกับร่างของเขาที่ถูกอุ้มขึ้นจนตัวลอย แต่ก่อนที่มาสะจะได้ร้องท้วงออกมา บริเวณโดยรอบก็กลับกลายเป็นห้วงอากาศสีดำสนิท


ในขณะที่มาสะกำลังตื่นตะลึง และมึนงงกับสิ่งที่เจอ ไซน์ก็พาร่างของเขาเดินไปเรื่อยๆ และเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็มาปรากฏอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องปี2ห้อง3 ห้องเรียนของเขานั่นเอง

ตอนนี้มาสะเก็บความสงสัยทั้งหมดไว้ภายในใจ แล้วหมายมั่นไว้ว่ากลับบ้านเมื่อไหร่เขาจะถามไซน์เรื่องที่เขาสงสัยทุกอย่าง แต่ตอนนี้มันน่าจะสายแล้ว เขาจึงรีบกระโจนออกจากอ้อมแขนแกร่งกระโจนเข้าหาประตูห้องทันที

“ผมมาทันทั้ยครับ..” ก่อนที่มาสะจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ร่างบางก็ถูกบรรดาเพื่อนที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องแต่งตัวฉุดกระชากเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับเสียงพึมพำที่ดังลอยมาในอากาศ

“มาทันอย่างเฉียดฉิวอีกแล้ว...อย่างกับเจาะจงไว้อย่างนั้นแหละ” อาจารย์คุโรคาวะพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังประตูบานที่เด็กนักเรียนของเขาเพิ่งจะเข้ามา ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงโปร่งเส้นผมสีชา กับดวงตาสีม่วงลึกลับกำลังมองตามร่างของนักเรียนของเขา..


“นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ!” เสียงตะโกนดังฝ่าเสียงพูดคุยทั้งหลายออกมาจากด้านหลังห้อง ไอโด้นั่นเอง

“ฉันพามาสะมาส่ง” ไซน์ตอบด้วยท่าทีสบายๆพร้อมกับหางตาที่เหลือบไปทางอาจารย์คุโรคาวะที่ตอนนี้กำลังมองเขาอย่างพิจารณา

“ส่งเสร็จแล้วก็กลับไปสิ นายจะมายืนขวางทางคนอื่นเขาทำไม” ไอโด้แสดงท่าทีไล่เต็มที่

“ฉันก็ไม่ได้ขวางทางประตูซะหน่อย แล้วอีกอย่างงานโรงเรียนเขาก็เปิดให้คนทั่วไปเข้าได้ไม่ใช่เหรอ ผมพูดถุกใช่มั้ยครับอาจารย์” ไซน์หันไปถามความเห็นจากอาจารย์คุโรคาวะ ที่ตอนนี้โดนสายตาของไอโด้จ้องอย่างไม่ลดละ พยายามสื่อความนัยไปว่า ให้ไล่ไซน์ออกไป แต่ดูเหมือนอะไรๆจะไม่เป็นใจซักเท่าไหร่

“พวกเราทุกคนที่นี่ต้องขอขอบคุณคุณมากที่มาส่งอิซึกิได้ทันเวลา ถ้ายังไงจะเข้ามานั่งรอข้างในก่อนก็ได้นะครับ” อาจารย์คุโรคาวะเอ่ยชวนโดยทำทีเป็นไม่สนใจต่อท่าทางกระฟัดกระเฟียดของไอโด้

“อาจารย์...” ไอโด้ที่พยายามจะแย้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะ

“หยุดเลยไอโด้ นายอย่ามาเสียมารยาทกับผู้มีพระคุณของพวกเราอย่างนี้นะ เชิญเข้ามานั่งเลยค่ะเชิญๆ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งขัดขึ้นก่อนจะหันไปจัดแจงหาโต๊ะหาเก้าอี้ให้ไซน์นั่ง ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับไซน์อย่างเป็นกันเอง

“ต้องขอบคุณคุณจริงๆนะคะ นี่ถ้าหมอนั่นมาช้ากว่านี้อีกนิดสงสัยจะแต่งตัวไม่ทันจริงๆ ยังไงก็นั่งพักให้สบายนะคะคุณ...” นักเรียนหญิงคนนั้นเว้นช่องว่างนิดหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกำลังต้องการถามชื่อของเขาอยู่

“เรียกผมว่าไซน์ก็ได้” ตอนนี้ไซน์กลายเป็นจุดสนใจของนักเรียนเกือบทุกคนในห้องที่ไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปช่วยเจ้าหญิงเจ้าชายแต่งตัว 

และแน่นอนว่าในกลุ่มที่รุมล้อมไอโด้อยู่นั้นย่อมไม่มีไอโด้รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ตอนนี้ไอโด้เดินแยกออกมาตรงบริเวณหลังห้องที่ไม่ค่อยมีคนเขาแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรออกมาค่อยข้างจะโจ่งแจ้ง แต่มีหรือที่ท่าทีจะทำให้ไซน์ที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายแห่งดินแดนปีศาจรู้สึกอะไร เขาเพียงแค่ปลายตามามองไอโด้เพียงเล็กน้อยแล้วให้ความสนใจกับกลุ่มนักเรียนที่เข้ามารุมล้อมเขาแทน

“เอ่อ..คุณไซน์เป็นพี่ชายของอิซึกิเหรอครับ” เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มเด็กที่กำลังรุมล้อมเขาอยู่

“เปล่าหรอก....ผมเป็นญาติห่างๆน่ะ” ไซน์ตอบทุกคำถามที่เด็กทั้งหลายถามเขาได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด อย่างที่เด็กพวกนั้นไม่มีทางรู้เลยว่ากำลังฟังเรื่องโกหกเกือบทั้งหมด แต่ก็เว้นไว้คนหนึ่ง

ไอโด้แสดงท่าทีไม่เชื่อคำลวงโลกนั้นอย่างเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่มีเด็กคนไหนสังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อยเพราะแต่ละคนต่างให้ความสนใจกับบุคคลตรงหน้ามากกว่า

หัวข้อการสนทนาที่ตอนแรกเป็นเรื่องของไซน์นั้น ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเรื่องมาสะเกือบหมด พวกเขาส่วนใหญ่อยากรู้เรื่องของเพื่อนตัวเล็กที่พวกเขาสนใจแต่ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปคุยได้อย่างเต็มที่นัก 

นักเรียนพวกนั้นเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับมาสะมากขึ้น และเจาะลึกมากยิ่งขึ้น เช่นว่าปกติมาสะทำอะไรบ้างเวลาอยู่บ้าน มาสะชอบไม่ชอบอะไร ฯลฯ ดีที่ว่าคำถามส่วนใหญ่ถูกถามออกมาในเวลาไร่เรี่ยที่เรียกได้ว่าแทบจะพร้อมกัน ทำให้ไซน์สามารถเลี่ยงที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีใครสงสัย

และเบี่ยงประเด็นโดยการถามกลุ่มเด็กนักเรียนกลับบ้าง

“แล้วปกติ อยู่โรงเรียนมาสะเป็นอย่างไรบ้าง” นักเรียนหลายคนหันไปมองหน้ากันเองก่อนแย่งกันตอบอย่างกับเด็กเล็กๆที่แย่งกับตอบคำถามของคุณครูเลย ทำให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ ยิ่งกว่านกกระจิบแตกรังเสียอีก

ไซน์พยายามจับความ ท่ามกลางเสียงเหล่านั้นซึ่งก็ออกมาได้ประมาณว่า

มาสะจะมาโรงเรียนเกือบสายทุกวัน เขามาทันแบบเฉียดฉิวเสมอ...

มาสะมักจะนอนทั้งวัน บ้างก็บอกว่าเขาชอบนั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างประจำ...

แต่เสียงพูดคุยที่ดังเซ็งแซ่นี้ก็ดูจะลดระดับความดังลงเมื่อมีเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“เดี๋ยวนี้หมอนั่นคุยด้วยง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย เหมือนบรรยากาศรอบตัวมันดูดีขึ้น”

“ใช่ๆเมื่อก่อน เอะอะอะไรก็คุยแต่กับไอโด้”

“พักนี้นอนในห้องไม่สนใจอาจารย์เลย ทั้งๆที่เมื่อก่อนตั้งใจเรียนจะตาย”

“ทุกวันนี้เวลาชวนคุยหมอนั่นก็ยอมคุยด้วยตลอด”

“บางทีก็มาชวนพวกเราคุยก่อนก็มีนะ”

“หมอนั่นทำตัวน่ารัก(น่ากิน)ขึ้นเยอะเลย” ประโยคหลังที่ถูกพูดขึ้นเหมือนมีเสียงเอคโคเบาๆลอยตามหลังมาด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้ใคร เพราะเหมือนเป็นการพูดเล่นเพื่อเรียกเสียงหัวเราะมากกว่า

ไอโด้ยิ้มขำๆให้กับคำพูดของเพื่อนอยู่หลังห้องคนเดียว เขาดีใจที่ในที่สุดเพื่อนๆในห้องก็เปิดใจยอมพูดคุยกับมาสะเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าลึกๆแล้วเขาจะรู้สึกเหงาอยู่นิดหน่อยก็ตาม

ไซน์ที่มองภาพเหล่านั้นด้วยแววตาที่อ่อนลงเล็กน้อย เขาอิจฉาเด็กพวกนี้ที่ได้อยู่รอบๆตัวมาสะเกือบตลอดเวลาที่มาสะอยู่โรงเรียน เขาที่ไม่ได้มีหน้าใดๆในโรงเรียนแห่งนี้ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะได้อยู่เคียงข้างมาสะในเวลานี้

ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเสียงดังกันในห้อง พวกเขาลืมไปแล้วรึเปล่าว่าอีกมุมหนึ่งของห้องได้ถูกกั้นเป็นห้องแต่งตัว แน่นอนว่าเสียงพูดคุยดังขนาดนี้มีหรือที่มาสะที่ตอนนี้กำลังแต่งหน้าทำผมเป็นขั้นตอนสุดท้ายจะไม่ได้ยิน เขารู้ตัวดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเพื่อนๆไม่ค่อยกล้าเข้ามาคุยกับเขาสักเท่าไหร่ ถึงจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่พอทุกคนบอกว่าดีใจที่สามารถพูดคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น ในอกของเขาก็เหมือนถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูกจนเจ้าตัวเผลอเม้มปากเพื่อสะกดกั้นอารมณ์ไม่ให้ทะลักล้นออกมา

“พวกเราทุกคนดีใจนะที่ได้นายมาเป็นเพื่อน” เพื่อนคนหนึ่งที่กำลังแต่งหน้าให้เขาอยู่พูดขึ้นเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มจริงใจที่ส่งมาให้ เหมือนเธอจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของมาสะเธอจึงพูดทีเล่นทีจริงต่ออีกประโยคหนึ่ง

“แต่ทุกคนจะรักนายมากเลยถ้านายทำให้ห้องเราได้ที่หนึ่งได้ล่ะก็นะ” มาสะหัวเราะออกมาเบาๆกับคำพูดนั้น แล้วบอกกับตัวเองในใจว่า วันนี้เขาจะพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่เขาสามารถจะทำได้ เพื่อเพื่อนๆของเขาทุกคน และเพื่อตัวเขาเอง

------------------------------

ตอนต่อไป>>> ตอนที่8: ก่อนเริ่มงาน