วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่ 5: วันเกิด

ตอนที่5: วันเกิด

                โรงเรียนเลิกแล้ว มาสะเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์มึนๆเบลอๆ อาจเพราะเขาเพิ่งตื่น หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะบรรดาเด็กผู้หญิงในห้องที่เข้ามารุมล้อมวัดตัวเขากันให้จ้าละหวั่น แล้วพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับชุด งานโรงเรียน กระโปรง อะไรประมาณนี้ ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจนัก พวกเธอช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ เพราะภายใต้ร่างกายเล็กๆนั้นกลับแฝงด้วยพละกำลังอันมหาศาลที่สามารถยื้อยุดฉุดกระชากเขาราวกับว่าร่างกายของเขานั้นไร้น้ำหนัก แล้วยังเสียงอันทรงพลังที่ถูกพูดออกมาด้วยความเร็วติดจรวดนั่นอีก เขาที่เพิ่งจะตื่นนอนเจอแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดียว หลังจากที่พวกเธอละไปแล้ว ไอโด้ก็เข้ามาพูดอะไรกับเขานิดหน่อยก่อนจะปลีกตัวกลับไป ซึ่งเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าไอโด้พูดอะไรไปบ้าง


                สิ่งที่ที่มาสะรับรู้ในเวลานี้คือ เขาง่วง ง่วงมาก เขาอยากกลับบ้านไปแล้วล้มตัวลงนอนลงบนที่นอนนุ่มของเขา 

อีกไม่กี่อึดใจต่อมามาสะก็เดินมาถึงบ้านจนได้ แต่แทนที่เขาจะได้นอนสมใจหวังกลับมีคน(ปีศาจ?) มาขวางเขาไว้เสียก่อน คนคนนั้นคือไซน์นั่นเอง คนที่เมื่อเช้านี้ปรากฏตัวขึ้นมาแถมยังอ้างว่าเป็นว่าที่สามีของเขาอีกด้วย

“กลับมาแล้วเหรอ วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง” ไซน์เดินเข้ามารับกระเป๋านักเรียนจากมาสะไปตอนที่เขากำลังถอดรองเท้าอยู่

“อืม ก็ดี แต่ตอนนี้ขอนอนก่อนนะ ง่วงมากๆเลย แล้วหลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกที” มาสะหาวพร้อมๆกับที่เดินโงนเงนผ่านไซน์ไปอย่างช้าๆ ดวงตาคู่กลมสวยจะปิดแหล่มิปิดแหล่ ด้วยเพราะจิตใจที่จดจ่อแต่เรื่องนอนเพียงอย่างเดียว ทำให้มาสะไม่มีโอกาสได้เห็นแววตาของไซน์ที่มองมาที่เข้าด้วยความรู้สึกเศร้าหมองราวกับต้องการสื่อความหมายบางอย่าง

ไซน์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจดึงมาสะที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ก่อนจะใช้มือใหญ่เชยคางดันใบหน้าเล็กให้เงยขึ้นมารับจุมพิตจากเขา 

มาสะเบิกตากว้างตกใจกับการกระทำของไซน์ ความง่วงงุนที่เคยมีอันตธานหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นระรัวราวกับจะกระดอนออกมาจากอกของเขาได้ทุกเมื่อ ไซน์ละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะขบเม้นริมฝีปากอิ่มของคนในอ้อมแขนเป็นการหยอกล้อตบท้าย

“สุขสันต์วันเกิดนะ ฉันอุตส่าห์เตรียมงานเลี้ยงเล็กๆไว้ให้ใจคอมาสะจะขึ้นไปนอนเลยเหรอ อย่างน้อยก็กินเค้กที่ฉันทำก่อนนะ แล้วถ้ายังง่วงอยู่เราค่อยขึ้นไปนอนกัน” ไซน์กระซิบข้างหูอย่างมีความสุข เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กของเขาอายจนก้มหน้างุดขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์พยักหน้าตอบเขาด้วย

มาสะเดินตามแรงจูงของไซน์เข้าไปที่โต๊ะกินข้าวในครัวอย่างเงียบๆ ในหัวก็พยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่วันนี้เขาง่วงขนาดว่าลืมวันเกิดตัวเองไปเลย มาสะพยายามนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมดตั้งแต่ตื่นจนถึงตอนนี้ ความทรงจำหลายๆอย่างโดยเฉพาะช่วงหลังจากที่เขาหลับไปดูจะเลือนรางเหลือเกิน จนในที่สุดมาสะก็ต้องเลิกคิดเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดึงความสนใจของเขาไปจนหมดสิ้น

บนโต๊ะกินข้าวเล็กๆตัวเดิมในครัวของเขา ตอนนี้ปรากฏเค้กก้อนไม่เล็กไม่ใหญ่ขึ้นมาหนึ่งก้อน เค้กครีมสีขาวที่ถูกแต้มแต้มอย่างสวยงามด้วยสีสันจากผลไม้หลากหลายชนิด และช็อกโกแล็ต ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างประณีต และลงตัว ด้านข้างมีอาหารเบาๆอย่างพวกแซนวิชและขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยพอให้รู้ว่าเป็นงานเลี้ยง

ความยินดี ความปิติ เอ่อล้นขึ้นมาในใจของมาสะอย่างเงียบๆ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้เขา ขนาดไอโด้ที่มักมาฉลองวันเกิดกับเขาก็เพียงแค่ให้ของขวัญเล็กๆน้อยๆตามธรรมเนียมแล้วก็นั่งทานอาหารเย็นกันธรรมดา แต่กับไซน์ที่เขาได้รู้จักยังไม่ถึงวันดีด้วยซ้ำกลับทำให้เขาขนาดนี้

“อ่า นี่มันไม่มากไปเหรอ” มากไปไหมที่ทำถึงขนาดนี้เพื่อเขา คนอย่างเขาสมควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้เหรอ

“ไม่เป็นไรถ้ากินไม่หมดจริงๆก็ใส่ตู้เย็นไว้กินวันหลังต่อก็ได้ นี่ทำเองกับมือเลยนะ ถึงจะไม่อร่อยเท่าที่ซื้อตามร้าน แต่รับรองว่ากินเข้าไปแล้วท้องไม่เสียแน่นอน” ไซน์พูดพร้อมกับผายมือไปทางเค้กด้วยความภูมิใจ แม้จะตอบไม่ค่อยตรงคำถามสักเท่าไหร่ แต่มาสะก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบท่าทางของไซน์ไป

ยิ่งพอได้ยินไซน์พูดแบบนั้นแล้ว ความยินดีก็ราวกับจะล้นปรี่ออกมา เขายิ้มให้ไซน์อย่างใจจริง ยิ้มที่น้อยครั้งเขาจะยิ้มให้คนอื่นได้เห็น รอยยิ้มที่จริงใจที่สุดที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พร้อมกับหยาดน้ำใสที่ค่อยๆไหลลงมาจากดวงตา

“ขอบคุณครับ” น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ถึงอย่างนั้นไซน์ก็ยังได้ยิน

“มาสะร้องไห้ทำไมอีก เรื่องแค่นี้ทำไมไซน์จะทำให้มาสะไม่ได้ ไม่ร้องนะ สำหรับไซน์แล้วมาสะเป็นคนที่สำคัญที่สุดรู้มั้ย” ประโยคสุดท้ายไซน์กระซิบเบาๆข้างหูเพียงเพื่อให้มาสะได้ยินก่อนจะค่อยจูบซับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่ามาสะหยุดร้องไห้แล้ว ไซน์จึงล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ไซน์รู้ว่าที่ไซน์ทำแบบนี้ทำให้มาสะลำบากใจ แต่ไซน์อยากให้มาสะรับรู้ รู้ว่าไซน์รักมาสะจริงๆ และไซน์พร้อมที่จะรอ รอให้มาสะพร้อม ถ้าวันไหนที่มาสะคิดว่าพร้อม ยอมรับในตัวไซน์ได้แล้ว ให้มาสะเอาแหวนวงนี้ออกมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายนะ” ไซน์บรรจงสวมสร้อยเงินเส้นบางที่มีแหวนทองคำขาวคล้องอยู่เข้าที่คอของมาสะ

มาสะมองดูแหวนวงนั้นอย่างเหม่อลอย แหวนทองคำขาววงเกลี้ยงที่ด้านในตัวแหวนมีขื่อของทั้งสองคนสลักไว้อยู่ แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนนิ้วนางขางซ้ายของไซน์ก็มีแหวนแบบเดียวกันอยู่ด้วย

“เมื่อมาสะเอาแหวนวงนี้มาสวมจะถือว่าเราสองคนได้แต่งงานกันแล้ว และฉันจะสามารถรับรู้ได้ทันทีที่มาสะมีอันตรายหรือต้องการความช่วยเหลือ แต่ถ้ามาสะยังไม่พร้อมที่จะแต่งล่ะก็ อย่าได้หยิบแหวนวงนี้ขึ้นมาสวมเด็ดขาด เพราะถ้าสวมแล้วจะไม่สามารถถอดออกได้อีกเลย จนกว่าเราของคนจะเป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์

แต่ไม่ต้องห่วงนะถ้ามาสะต้องการความช่วยเหลือหรืออยากคุยกับไซน์ล่ะก็ แค่มาสะกำแหวนวงนี้ไว้แล้วนึกถึงไซน์ แค่นี้เราก็สามารถคุยกันได้แล้ว” มาสะพยักหน้ารับคำพูดของไซน์อย่างว่าง่ายโดยที่สายตายังไม่ละไปจากแหวนวงนั้น

ไซน์มองดูมาสะด้วยแววตาหลงใหลระคนเอ็นดู มาสะของเขาเอาแต่จ้องแหวนไม่มองตาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แถมยังมีอาการเลือดฝาดขึ้นมาที่แก้มอีก เห็นแบบนั้นแล้วเขาอยากจะก้มลงไปสูดเอาความหอมจากพวงแก้มชมพูนั่นเหลือเกิน

ขณะที่ไซน์กำลังค่อยๆก้มลงไปเพื่อหอมแก้มมาสะนั้น เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นเรียกสติสัมปชัญญะของทั้งคู่ให้กลับมา

เสียงกริ่งเรียกให้มาสะรู้ตัว และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากแหวนจึงได้รู้ว่า ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ ถ้าเสียงกริ่งดังช้ากว่านี้อีกนิด สงสัยเขาคงโดนคนตรงหน้าฉวยโอกาสหอมแก้มเขาไปแล้วแน่ๆ มาสะดันไซน์ออกเบาๆก่อนที่จะเดินไปที่ประตูอย่างเขินๆ จึงไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจของไซน์

“โดนขัดจังหวะซะได้.......” 

                ไอโด้ยืนรออยู่หน้าประตูได้สักพักหนึ่งแล้ว เขาอดที่จะแอบสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมอิซึกิเพื่อนของเขา ถึงได้มาเปิดประตูช้านัก ปกติหมอนี่ไม่เคยปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ หลังจากบ่นพึมพำอยู่ในใจได้ไม่นาน ประตูตรงหน้าเขาก็เปิดออก พร้อมๆกับเจ้าของบ้านที่ส่งยิ้มแห้งๆมาให้

                “โทษทีไอ้โด้ รอนานรึเปล่า พอดีว่า...เข้าห้องน้ำอยู่น่ะ” มาสะพยายามเค้นสมองทั้งหมดเพื่อหาข้อแก้ตัวที่เขาคิดว่าน่าจะเข้าท่ามากที่สุด

                “ไม่เป็นไรๆ แค่เรื่องแค่นี้เอง อ่ะ นี่ของขวัญวันเกิด ปีนี้ก็มีความสุขมากๆล่ะ” ไอโด้กล่าวก่อนยื่นกล่องของขวัญขนาดกลาง ที่ถูกห่อด้วยกระสีสวยสดใสให้มาสะ

                ตั้งแต่รู้จักกันมาไอโด้มักจะให้ของขวัญเขาทุกปี ซึ่งของขวัญที่ได้ก็มักเป็นของขวัญตามมารยาท ปีที่แล้วเขาได้นาฬิกาเป็นของขวัญ ปีก่อนก็ได้กรอบรูป ปีนี้เองก็คงไม่พ้นอะไรพวกนี้ แต่ถึงของที่ได้จะเป็นของที่ไม่มีมูลค่าอะไร แต่มันก็ทำให้เขามีความสุข เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้รู้ว่าเขายังมีเพื่อนที่ดีอย่างนี้อยู่คนหนึ่ง

                “ใครมาเหรอ มาสะ” เสียงของไซน์ที่ดังมาจากในตัวบ้านเรียกความสนใจจากบุคคลทั้งสองได้ป็นอย่างดี


                “เพื่อนที่โรงเรียนน่ะ...เขามาฉลองวันเกิดกับผมทุกปี” มาสะตอบไซน์ไปตรงๆโดยไม่ได้คิดอะไร โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนได้ไปจี้จุดชนวนบางอย่างของไซน์เข้า ไซน์ถามกลับแทบทันทีที่มาสะพูดจบ

                “แล้วจะมีมาอีกมั้ย หรือมีแค่หมอนี่คนเดียว”

                “มีแค่นี้แหละ ปกติก็ฉลองกันแค่สองคนทุกปี” สองคนอย่างนั้นเหรอ เจ้าเด็กนั่นอุตส่าห์มาถึงนี่เพื่อที่จะมาฉลองวันเกิดแถมยังมีของขวัญวันเกิดมาให้ด้วยทั้งๆที่แค่อวยพรเฉยๆก็ได้แล้วแท้ๆ ไซน์คิดอย่างขุ่นเคืองใจ 

                พอคิดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่เด็กนั่นกลับได้อยู่ใกล้ๆ ได้สนิทสนม ฉลองวันเกิดกันเพียงสองคน อย่างกับ...อย่างกับ...ฮึ่ม แค่คิดเขาก็โมโหแล้ว แต่ถึงในใจจะครุกรุ่นแค่ไหนแต่ภายนอกที่เจ้าชายปีศาจแสดงออกไปกลับตรงกันข้าม

                “อย่างนั้นเหรอ แอบนึกว่าอาหารที่เตรียมไว้จะไม่พอซะแล้ว” ไซน์ปั้นหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับทำท่าโล่งใจ

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะเรียกฉันว่าไซน์ก็ได้ ฉันเป็น...ญาติของมาสะน่ะ” ในตอนแรกไซน์จะแนะนำว่าตนเองเป็นเจ้าชายจากเมืองปีศาจที่กำลังจะมาเป็นสามีของมาสะในอนาคตเสียหน่อย แต่เหมือนมาสะจะรู้ทัน ชิงสะกิดแขนดักเขาไว้ก่อนที่จะได้พูด ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ยอมร่วมมือแต่โดยดี แต่ก็ต้องมีค่าตอบแทนกันบ้างล่ะ ไซน์จึงเอื้อมมือไปโอบไหล่มาสะให้เข้ามาชิดตัวเขาตอนที่กำลังพูดกับไอโด้

                “ไอโด้ โยชิยูกิ ยินดีที่ได้รู้จัก” ไอโด้ตอบไปเรียบๆก่อนที่ตาของเขาจะเหลือบไปเห็นแขนแกร่งของไซน์ที่กำลังโอบไหล่เพื่อนสนิทของเขาอยู่ มีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกก่อตัวขึ้นที่หน้าอก แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจมัน เพราะมีบางสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น

                “ฉันจำได้ว่า อิซึกิ เหลือญาติแค่สองคนคือคุณลุงกับคุณป้าไม่ใช่เหรอ แถมท่านทั้งสองก็เป็นคนบอกเองว่าพวกท่านเป็นญาติสองคนสุดท้ายของมาสะ”

                คำถามจากปากของเพื่อนนั้นทำให้มาสะเกิดอาการลุกลี้ลุกลนออกมาพอสมควร ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ในใจก็กลัวว่าความจะแตก มาสะจึงเกาะคนข้างๆของตนไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่ง และพยายามระงับอาการสั่นของตน

                ไซน์ที่เห็นท่าทีของมาสะแบบนั้น ทั้งยังแรงเกาะที่แขนข้างซ้ายนั่น ทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่ารอยยิ้มนั้นได้สร้างความขุ่นเคืองบางอย่างให้แกไอโด้ด้วย

                “ฉันเป็นลูกของน้าสะใภ้ของแม่ของมาสะน่ะ พอดีไม่ได้ติดต่อกับทางนี้นานเขาเลยไม่ค่อยรู้เรื่องกันเท่าไหร่ว่ามีฉันอยู่ด้วย”

                “แล้วทำไมถึงมาอยู่บ้านเดียวกับอิซึกิได้ล่ะ” ไอโด้พยายามถามจี้ต่อไปอย่างไม่ลดละ

                “ฉันมาหางานทำที่เมืองนี้น่ะ แล้วบังเอิญรู้ว่ามาสะอยู่ตัวคนเดียว ฉันเลยมาขออาศัยอยู่ด้วยน่ะ” ไซน์ตอบอย่างไหลลื่นโดยไม่มีอาการชะงักสักนิด ท่ามกลาการลุ้นละทึกของมาสะ

                “ถ้ายังไงก็เข้ามาข้างในก่อนสิ ยืนคุยกันข้างนอกคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ไซน์เอ่ยชวนก่อนจะโอบมาสะแน่นยิ่งขึ้นแล้วเดินนำเข้าไปก่อน

                ไอโด้เดินตามร่างสองร่างที่เดินนำเขาอยู่ด้วยความรู้สึกประหลาด มีคำถามมากมายผุดขึ้นในใจของเขา ทำไมอิซึกิต้องโกหกเขา ทำไมอิซึกิถึงไม่พูดความจริง ท่าทางแบบดูก็รู้ว่าเรื่องที่ชายคนนั้นพูดออกมามันไม่จริงสักนิด

                ไอโด้พยายามระงับความหงุดหงิดและความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในใจ เมื่อเห็นสองคนที่เดินนำหน้ากำลังคุยกันอย่างหัวเราะต่อกระซิก และยังโอบกันแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่เชิงเป็นอย่างที่ไอโด้เห็นสักเท่าไหร่ เพราะไซน์เพียงแค่คุยหยอกมาสะเป็นปกติเท่านั้น ส่วนมาสะนั้นแน่นอนว่าพยายามห้ามไม่ให้ไซน์พูดอะไรที่ไม่ควรกับไอโด้

                ไอโด้มองไปยังร่างเล็กของเพื่อนที่ยังคุยกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นญาติอย่างสนุกสนาน? เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเขาถึงมีอารมณ์แปลกๆเกิดขึ้น เขากับอิซึกิเป็นเพื่อนกันจะมีความลับแก่กันคนละเรื่องสองเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ปกติถ้าจนมุมขนาดนี้อิซึกิก็มักจะบอกเขาแต่โดยดี แต่ทำไมเรื่องของผู้ชายคนนั้นอิซึกิกลับพยายามปกปิดเขา ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรรู้อย่างนั้นแหละ ความไม่พอใจรวมกับความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวรวมกันมากยิ่งขึ้นราวกับว่าจะระเบิดออกมาได้แบบนี้มัน...

                ไอโด้สะบัดหัวอย่างแรง เพื่อปัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวของตนทิ้งไป วันนี้เขามาฉลองวันเกิดให้เพื่อน เขาควรจะยิ้มสิ ยิ้มสิโยชิยูกิ ถ้านายไม่ยอมยิ้มเดี๋ยวหมอนั่นจะไม่สบายใจเอาได้นะ

                ไอโด้ยิ้มออกมา พอดีจังหวะกับช่วงที่มาสะเดินมาดึงเขาเพื่อให้เขาไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ตรงโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารและเค้ก เขายังยิ้มได้ พูดคุยได้กับทั้งสองคนอย่างเป็นปกติ แต่ทำไมนะในใจของเขากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ตรงกันข้าม อารมณ์ที่ว่านั้นเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เห็นสองคนที่นั่งข้างกัน พูดคุยคอยตักอาหารให้กันอย่างสนิทสนม และอารมณ์ความรู้สึกที่ว่านั้นไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย

------------------------
ตอนต่อไป>>> ตอนที่ 6: เตรียมงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น