วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่3 คำสัญญา


ตอนที่คำสัญญา


                คำพูดทุกคำที่หลุดออกมาจากปากพ่อกับแม่นั้นมันช่างบีบคั้นหัวใจของเด็กน้อยที่อายุเพียงแค่14ปีอย่างเขา นี่เขาทำอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ยต้องทนดูพ่อแม่จากไปเฉยๆอย่างนั้นเหรอ

                “มาสะ ฟังแม่นะตลอดเวลา14ปีมานี้ แม่ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับอายุขัยของแม่เลยสักครั้ง เพราะนั่นทำให้แม่มีลูกอยู่อย่างทุกวันนี้ ไม่ว่าลูกจะทุกข์ทรมานแค่ไหน หรือว่าต้องยากลำบากเพียงใด ลูกห้ามคิดสั้นอยากตามมาอยู่กับพ่อแม่เด็ดขาด เพราะโทษของการฆ่าตัวตายนั้นมันหนักหนาสาหัสมากรู้มั้ย แม่ขอให้ลูกใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง สัญญากับแม่สิว่าลูกจะมีชีวิตต่อไปแทนส่วนของพ่อกับแม่”

                “ผมสัญญาครับ”ทั้งสามคนกอดกันแน่นราวกับจะซึมซับความอบอุ่นนี้ให้ตราตรึงเป็นครั้งสุดท้าย

!!!!!!!!!!!!!” เสียงแตรรถบรรทุกดังขึ้นอย่างถี่รัว เรียกความสนใจจากทั้งสามได้ทันที แต่แล้วภาพที่พวกเขาเห็นนั้นกลับเป็นภาพรถบรรทุกขนาดใหญ่กำลังพุ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็วและไม่มีท่าทีจะชะลอลงแม้แต่น้อย

                “หลบไป!!! เบรกแตก!!!!!”คนขับรถพยายามตะโกนบอกทั้งสามให้หลบออกไป ก่อนที่จะพุ่งกระโจนออกมาจากที่นั่งคนขับ แต่มันสายเกินไปแล้ว รถบรรทุกที่ไร้คนขับพุ่งตรงไปหาทั้งสามอย่างรวดเร็ว ส่งให้รถที่พวกเขานั่งอยู่กระเด็นลอยออกจากขอบหน้าผาไป

                แย่แล้วแบบนี้ไม่ใช่แค่เขากับภรรยาเท่านั้นที่จะต้องตาย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปแม้แต่มาสะก็ต้องตายไปด้วยแน่ๆ เขาไม่มีทางยอมให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก คนเป็นพ่อรีบร่ายมนต์บทที่เขาเคยอ่านเจอตอนที่หาทางแก้ไขคำสาปทันที มนต์บทที่จะสุ่มเรียกปีศาจระดับสูงออกมา โดยใช้ดวงวิญญาณของตนเองแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ ผู้เป็นแม่รู้ได้ทันทีว่าสามีของตนกำลังทำอะไร เธอไม่รอช้ารีบช่วยสามีของเธอร่ายทันที เสียงของทั้งสองคนสอดประสานกันอย่างพลิ้วไหวราวกับเสียงของสายน้ำที่ไหลไปตามสายธารา มาสะที่อยู่ในอ้อมแขนทั้งของทั้งสองนั้นสลบไปตั้งแต่เจอแรงกระแทกของรถบรรทุกแล้ว ทันทีที่เสียงร่ายหยุดลง ราวกับว่าเวลาเองก็ได้หยุดลงเช่นกัน มีเพียงเสียงหอบหายใจของสองสามีภรรยาเท่านั้นที่ดังอยู่ท่ามกลางความเงียบ ทั้งสองได้แต่ภาวนาในใจว่าคงไม่มีใครร่ายผิดใช่ไหม แล้วคำตอบของข้อสงสัยก็ปรากฏขึ้น ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าพลันปรากฏห้วงอากาศดำมืดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีชาและนัยน์ตาสีม่วง

                “พวกเจ้ามีธุระอะไรถึงได้เรียกข้าออกมา”ชายคนนั้นถามด้วยเสียงที่ราบเรียบและเย็นชา

                “ได้โปรดท่านปีศาจโปรดช่วยชีวิตลูกชายของพวกเราด้วย” คนเป็นแม่อ้อนวอนร้องขอ

                “ได้โปรดไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ท่านเอาดวงวิญญาณของพวกเราไปเลยก็ได้”คนเป็นพ่อรีบพูดต่อทันที

                ปีศาจหนุ่มมองทั้งสองอย่างครุ่นคิด ก่อนมองเลยไปยังเด็กหนุ่มที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของทั้งคู่ พลันความรู้สึกบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างเงียบๆ แล้วปิศาจหนุ่มจึงเอ่ยว่า

                “ต่อให้เอาพลังวิญญาณของพวกเจ้าทั้งสองมารวมกันเด็กหนุ่มคนนี้ก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงปี” เมื่อสองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปเลยทีเดียว ทำไมลูกชายของพวกเขาถึงได้อายุสั้นนักนะ

                “แต่ข้ามีทางช่วย” ประโยคสั้นๆนี้เองได้จุดประกายความหวังให้แกทั้งคู่

                “อย่างไรหรือท่าน” ถามกลับไปอย่างมีความหวัง

                “ยกลูกชายของพวกเจ้าให้มาเป็นภรรยาของข้า ตามหลักสัญญาการแต่งงานในโลกปีศาจแล้ว สามีภรรยาจะแบ่งอายุขัยให้กันคนละครึ่ง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต้องทนดูอีกคนตายจากไปก่อน” เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ถ้าลูกของพวกเขาเป็นผู้หญิงเขาคงจะตอบรับข้อเสนอนี้ทันทีอย่างไม่ลังเลเลย แต่นี่... แล้วจะมีอะไรมารับประกันว่าปีศาจตนนี้จะดูแลลูกเขาเป็นอย่างดี ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์

                “พวกเจ้าไม่ต้องห่วงการแต่งงานจะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่ได้เกิดจากการยินยอมพร้อมใจ ข้าไม่บังคับลูกของพวกเจ้าหรอก”สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างลังเล พวกเขารู้ว่าปีศาจตรงหน้าพูดความจริงเพราะมนต์ที่พวกเขาใช้นั้นเป็นมนตราอัญเชิญปีศาจระดับสูง และในหมู่ของปีศาจระดับสูงนั้นขึ้นชื่อเรื่องความมีสัจจะจาวา ทั้งสองมองหน้ากันสักพักก่อนจะพยักหน้าให้กันอย่างตัดสินใจได้

                “พวกเราตกลง ในเมื่อท่านสัญญาแล้วว่าจะไม่บังคับลูกของเรา แต่มันไม่เร็วไปเหรอลูกชายของเราเพิ่งจะ14เองนะ” ทั้งคู่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

                “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เขากลายเป็นคู่หมั้นของข้าโดยสมบูรณ์แล้ว ข้าจะให้อิสระกับเขา3ปี ในวันเกิดอายุครบ17ปี ข้าจะกลับมาทวงคำสัญญากับเขา เมื่อถึงตอนนั้นถ้าเจ้าตัวยังยืนยันที่จะไม่แต่ง และเลือกที่จะรับความตายแทนข้าก็จะปล่อยเขาไป” ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างพอใจกับคำกล่าวนั้น เมื่อได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เวลาที่เคยหยุดลงก็เริ่มที่จะเดินต่ออีกครั้ง

                “ขอให้ลูกมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง และขอให้พวกลูกรักกันมากๆเหมือนพ่อกับแม่ พวกเราจะอยู่กับลูกเสมอ” เสียงกล่าวที่ดังราวกับเสียงกระซิบนั้นดังขึ้นในความฝันของมาสะ ก่อนที่รถจะพุ่งลงกระแทกกับก้นเหวอย่างแรง และตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่นไปทั่ว

                ในตอนที่หน่วยกูภัยมาถึงที่เกิดเหตุพวกเขาคาดว่าคงไม่มีใครรอด แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเด็กชายกลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ในอ้อมกอดของผู้เป็นบิดาและมารดา ทั้งคู่เสียชีวิตแทบจะในทันที ในขณะที่เด็กชายกลับมีเพียงแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย หลังจากที่เด็กชายได้ฟื้นขึ้นมาทางตำรวจได้สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ได้ความเพียงแค่ว่า ครอบครัวของพวกเขากำลังจะไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด เด็กชายหลับไประหว่างทาง และตื่นมาอีกทีตอนที่ถูกหน่วยกู้ภัยช่วยมาแล้ว เขาได้สูญเสียความทรงจำในเรื่องที่เกิดขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นานเขาก็เริ่มฝัน ฝันถึงผู้ชายคนหนึ่ง ตลอด3ปีที่ปราศจากพ่อกับแม่ ช่วงเวลา3ปีที่ต้องอยู่อย่างว้าเหว่และเดียวดาย เขาสามารถพูดได้เลยว่า ชายในฝันคนนั้นเป็นคนที่ดับความเหงาความว้าเหว่ไปจากใจของเขาได้อย่างหมดสิ้น.....

                ความทรงจำที่เคยลืมเลือนไปไหลทะลักราวกับน้ำป่าไหลหลาก แม้จะเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่เคยลืมเลือนไปแต่ คำพูดของพ่อและแม่ที่พูดกับเขาในตอนท้ายนั้นยังคงอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจที่หนาวเหน็บของเขา เมื่อห้วงของกระแสความทรงจำได้จบลง มาสะก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น แต่มันไม่ใช่ความอบอุ่นที่ใจอย่างในตอนแรก มันอุ่นเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังโอบกอดเขาอยู่ จะเป็นไปได้ยังไงล่ะในเมื่อทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างพากันจากเขาไปหมดแล้ว เขาไม่เหลือใครที่สามารถมอดอ้อมกอดอันอบอุ่นให้เขาได้อีกแล้ว เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว เหลือเขาแค่คนเดียว น้ำตาที่เหือดแห้งไปไหลเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง พอคิดว่าจะต้องทนเหงาอยู่คนเดียวไปตลอดกาลเขาก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว แค่ช่วงเวลา3ปี แค่3ปีที่เขาทนอยู่อย่างเดียวดายมันก็ทำเอาเขาแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว กลัว กลัวเหรอเกิน ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาสามารถอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง แต่ทำไมกัน ในเวลาแบบนี้ เพียงแค่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด แค่นั้นเองทำไมกัน ทำไมเขาถึงได้อ่อนแออย่างนี้นะ...

                “มาสะ มาสะ เป็นอะไรไป ทำไมร้องไห้อีกแล้วล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเบาๆข้างๆใบหูพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับขึ้น และสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบหัวปลอบประโลม ใครกัน สัมผัสนี้เป็นของใครกัน ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยอย่างนี้ ทำไมถึงได้โหยหาอ้อมกอดนี้มากขนาดนี้

                “นี่ถ้ายังไม่ยอมตื่นเดี๋ยวได้ไปโรงเรียนสายหรอก” คำว่าไปโรงเรียนสายทำให้มาสะลืมตาตื่นขึ้นมาทันที แต่ถึงจะตื่นแล้วแต่ก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี เพราะติดอยู่ในอ้อมกอดของ ไซน์ เอล วาลานเช่ ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าชายปีศาจ แต่ถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อ ในเมื่อคนตรงหน้าเพิ่งจะพิสูจน์คำพูดของตัวเองด้วยการคืนความทรงจำให้กับเขา

                “ในที่สุดก็ยอมตื่นซักที ว่าแต่คราวนี้ร้องไห้ทำไมอีกล่ะ” ไซน์กล่าวยิ้มๆก่อนจะขโมยหอมแก้มนุ่มนิ่มของมาสะไปโดยไม่ขอ ทำเอามาสะลืมความเศร้าเมื่อครู่ไป อายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว...

                “ปะ..เปล่าซะหน่อย ปล่อยได้รึยัง เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย” มาสะพยายามที่จะขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั้น

                “ไม่ปล่อยจนกว่ามาสะจะยอมตอบตกลงเรื่องสัญญา”

                “สัญญาอะไร” เขาไม่เห็นจำได้เลยว่าไปสัญญาอะไรกับคนตรงหน้าไว้

                “อ้าว ก็เรื่องที่จะมาเป็นภรรยาของไซน์ไง อะไรกัน เพิ่งจะให้ดูความทรงจำไปเมื่อกี้นี้ ลืมซะแล้วเหรอ” พอไซน์พูดถึงคำว่าภรรยาเท่านั้นแหละ สติของมาสะแทบหลุดออกจากร่าง เขาจะไปเป็นภรรยาใครได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่งอย่างนี้ แต่ถ้าเขาตอบปฏิเสธไปเขาก็ต้องตายสินะ ตอนตายไปจะได้เจอพ่อกับแม่มั้ยนะ แต่ตอนที่ตายต้องเจ็บมากแน่ๆเลย พ่อกับแม่ตอนที่ท่านเสียไปก็เจ็บ(ตกหน้าผา) เขากลัวความเจ็บปวดด้วยสิ มาสะคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ เขาเลยตัดสินใจลองพูดออกไป

                “เออ...ถ้าเกิดว่าไม่ล่ะ...คะ..คือว่าเรายังไม่ทันได้รู้จักกันดีเลย....จะไปแต่งงานกันได้ไง” พอคำว่าไม่หลุดออกจากปากของมาสะไปเท่านั้นแหละ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยประกายของไซน์ก็กลับหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มาสะต้องรีบพูดแก้อย่างตะกุกตะกักทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทำไมเขาถึงห่วงคนๆนี้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้

                “ไม่เป็นไร อยู่ๆกันไปเดี๋ยวก็รู้จักกันเองนั่นแหละ” คำพูดนี้ทำเอามาสะทำหน้าไม่ถูกไปเลยทีเดียว ก่อนเขาจะนึกเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้

                “ไหนไซน์สัญญากับพ่อกับแม่ว่าจะไม่บังคับผมไง ถ้าผมไม่ยอมยังไงการแต่งก็จะไม่เกิดใช่มั้ย”ใช่ ถ้าเขาไม่ยอมซะอย่าง ยังไงไซน์ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่แล้วความกระหยิ่มยิ้มย่องใจที่มีก็ต้องอันตธานหายไปเมื่อไซน์พูดประโยคหนึ่งออกมา

                “เปล่าหรอก นั่นพูดแค่เพื่อให้พ่อกับแม่ของมาสะยอมก็เท่านั้น จริงๆถ้าจะแต่งซะอย่างต่อให้มาสะไม่ยอมก็บังคับได้ แต่ฉันไม่อยากทำแบบนั้นนักหรอก เพราะมันมีแต่จะทำให้มาสะเกลียดฉันซะเปลาๆ” ประโยคหลังไซน์พึมพำออกมาเบาๆ แต่ถึงจะเบาแค่ไหน แต่มาสะที่อยู่ในอ้อมกอดย่อมได้ยินเป็นธรรมดา

                “ผมไม่ได้เกลียดไซน์นะ แต่มันยังเร็วเกินไป” มาสะพูดขึ้นเบาๆ โดยในใจลึกๆก็หวังว่าคำพูดของเขาคงจะไม่ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกแย่มากนัก ไม่มีเหตุผลเลยที่เขาแคร์ความรู้สึกของไซน์มากขนาดนี้ แต่ความรู้สึกที่มีตอนนี้มันก็ไม่มากพอที่จะทำให้เขาตอบตกลงได้...

                “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรอ แต่รอได้ไม่นานหรอกนะ เพราะพลังชีวิตของมาสะเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว อีกไม่ถึงปีถ้ามาสะยังไม่ยอมแต่ง มาสะต้องตายจริงๆแน่”  เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ต้องถูกเกลียดเขาก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

                “ตกลงแล้วนะ ว่าแต่นี่จะปล่อยได้รึยัง จะไปโรงเรียนสายจริงๆแล้วนะ” มาสะพยายามขืนตัวออก พร้อมกับมองไปที่นาฬิกาที่ฝาผนัง ถ้ารีบหน่อยน่าจะยังทัน เขาคิด

                “ก็ได้” ไซน์พูดเบาๆก่อนจะยอมปล่อยมาสะออกจากอ้อมแขนของตนอย่างเสียดาย มาสะวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีที่เป็นอิสระ ใช้เวลาไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับเครื่องแบบนักเรียนของเขา

                ตอนนี้ไซน์ไม่อยู่ในห้องแล้ว มาสะกวาดตามองไปรอบๆด้วยความสงสัย หรือว่าจะกลับไปแล้ว เขาไม่คิดอะไรมากรีบวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว ถ้าวิ่งไปน่าจะทันอย่างเฉียดฉิวนะ ค่อยไปหาอะไรกินเอาตอนเที่ยงแล้วกัน มาสะรีบคว้ารองเท้าผ้าใบในตู้มาใส่อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกจากบ้านนั้นก็มีเสียงๆหนึ่งเรียกเขาไว้

                “มาสะเอานี่ไปด้วย” ไซน์มาอยู่ข้างหลังเขาตอนไหนก็ไม่รู้ พร้อมกับยื่นเข้ากล่องมาให้เขากล่องหนึ่งพร้อมกับแซนวิชอันใหญ่ที่ใส่ถุงกระดาษไว้ ขณะที่มือของมาสะกำลังจะหยิบคว้าของที่ยื่นมานั้นเอง มาสะก็ถูกมือที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าฉุดเขาเข้าไปหา กำลังจะเอ่ยปากถามแต่ริมฝีปากก็ถูกปิดลงด้วยปากของอีกฝ่ายที่ประกบลงมาอย่างรวดเร็ว ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วก่อนจะละออกไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน

                “เดินทางดีๆล่ะ อย่าไปเหม่อให้รถชนเอาล่ะ” ไซน์พูดยิ้มๆก่อนจะผลักมาสะเบาๆ นั่นทำให้มาสะรู้สึกตัวขึ้นมา

                “สายแล้ว” เขาอุทานเบาๆก่อนจะคว้าเอาอาหารจากมือไซน์พร้อมกับออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของไซน์

                “ท่านไซน์ขอรับ มิทราบว่าหลังจากนี้จะทำเช่นไรต่อไป” เสียงเล็กที่ฟังไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายดังขึ้นจากมุมมืดๆมุมหนึ่งด้านหลังของไซน์

                “ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก ฝากเจ้าจัดการทางนั้นแทนด้วย ถ้ามีอะไรผิดปกติให้รีบรายงานด่วน” ไซน์ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยและเสียงอันเย็นชาที่มาสะคงจะไม่มีวันได้เห็น

                “ขอรับ” เสียงตอบกลับสั้นๆ พอมองเห็นว่ามีเงาดำเงาหนึ่งวูบหายไปแล้ว แววตาที่เคยเย็นชาของไซน์ก็กลับเป็นขี้เล่นอีกครั้ง
                “จะว่าไปวันนี้วันเกิดมาสะนี่นา ถ้าจำไม่ผิดมนุษย์มีประเพณีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับวันนี้อยู่ สงสัยต้องลองไปศึกษาดูซะหน่อยแล้ว” พูดกับตัวเองเบาๆก่อนร่างของไซน์จะค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดที่ที่เขาเคยยืนอยู่ก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย เหลือไว้เพียงแต่เสียงหัวเราะที่ดังอยู่ในตัวบ้านเบาๆ หึ หึ หึ....
               
 ----------------------------

ตอนต่อไป>>> ตอนที่ 4: เจ้าหญิง?               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น