วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่2 ความจริง


ตอนที่2 ความจริง

                วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 17ปีของมาสะ เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นทำให้มาสะไม่ค่อยอยากลุกออกจากผ้าห่มนัก นกยังไม่ร้องเลยขอนอนต่ออีกหน่อยแล้วกัน คิดได้ดังนั้นก็เขยิบตัวเข้าซุกหาความอบอุ่น วันนี้เป็นวันที่มาสะรู้สึกดีที่สุดในรอบหลายวัน เพราะเมื่อคืนนี้เขาไม่ได้ฝันถึงชายคนนั้นเลย ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มสบายอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้...อ้อมกอดอุ่น!!!
                มาสะลืมตาทันทีที่รับรู้ว่าความอบอุ่นที่เขาได้รับนั้นไม่ได้มาจากผ้าห่ม แต่หากมาจากอ้อมกอดของใครบางคน และเขากำลังนอนหนุนแขนของผู้ชายคนนั้น! ผู้ชายคนที่เขาฝันถึงทุกๆคืน ที่วันนี้ไม่มาหาเขาในฝัน แต่กลับกลับมานอนกอดเขาอยู่ตรงนี้เลย!

                มาสะพยายามที่จะดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมแขนนั้น แต่แทนที่จะหลุดออกมาได้กลับถูกชายคนนั้นกอดแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของมาสะอยู่ติดกับอกกว้างของอีกฝ่ายจนสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นเลย มาสะพยายามดิ้นให้แรงขึ้น แต่ผลที่ได้คือตอนนี้ร่างกายของทั้งสองแนบติดกับแทบจะทุกส่วน กับเสียงงึมงำเบาๆแค่พอได้ยินจากชายตรงหน้า

                “อย่าดิ้นสิ ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ” เสียงเองก็เหมือนกับในความฝัน กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเขา ร่างกายที่แนบชิดติดกัน สัมผัสที่โอบกอด เสียงเต้นของหัวใจข้างหู ตอนนี้มาสะไม่สามารถที่จะรักษาอุณหภูมิบนใบหน้าของเขาไว้ได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้มันร้อนไปหมดจนเขาไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี ดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด จนสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน หรือว่านี่จะเป็นฝันเหมือนกับทุกที ถ้าเป็นฝันเขาก็ควรที่จะตื่นได้แล้ว....

                ในหัวของมาสะตอนนี้เรียกได้ว่าฟุ้งซ่านไปไกลจนไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า เจ้าของอ้อมกอดกำลังมองเขาอยู่ ใบหน้าน่ารักที่แดงไปจนถึงใบหู หน้าตาดูกังวล คิดอะไรไม่ตก แถมอาการตัวสั่นนิดๆเหมือนลูกแมวนั่นอีก มาสะไม่รู้สักนิดว่าในสายตาของคนอีกคนเขาน่ารักมากขนาดไหน

                มาสะพยายามคิดอยู่นานว่าควรจะทำยังไงดี อยู่ๆอ้อมกอดนั้นก็รัดแน่นขึ้นแล้วคลายออกอย่างช้าๆ มาสะอดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองชายตรงหน้าไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรออกไป ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาประกบโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แลกเปลี่ยนความหวานกันอย่างโหยหาและร้อนแรง มาสะไม่สามารถขัดขืนได้เลยในเมื่อริมฝีปากนี้มันช่างหอมหวานจนเขาอดที่จะเคลิ้มตามและจูบตอบโดยไม่รู้สึกตัว ถึงแม้นี่จะเป็นจูบแรกของเขา แต่ในความฝันนั้นเขาผ่านมันมาไม่รู้กี่ครั้ง ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกันไม่หยุดหย่อนราวกับจะกลืนกินซึ่งกันและกัน ทั้งคู่ถอนริมฝีปากออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แต่หน้าผากยังชนกันอยู่

                “อรุณสวัสดิ์ มาสะ” คำทักทายสั้นๆนั้นเองที่เป็นตัวเรียกสติของมาสะให้กลับคืนมา นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย จูบกับคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่ออย่างดูดดื่ม แล้วนั่นก็จูบแรกของเขาด้วย! ความร้อนพุ่งเข้าจู่โจมใบหน้าของมาสะแทบจะทันที ความรู้สึกของเขาตอนนี้มัน...ว่าไงดีล่ะ โกรธเหรอ ไม่เลย กลัวเหรอ ก็เปล่า รังเกียจเหรอ ไม่ใช่ อายเหรอ ดูเหมือนคำว่าอายจะเป็นคำอธิบายความรู้สึกของมาสะตอนนี้ได้ดีที่สุด อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

                แต่แล้วอยู่ๆก็มีก้อนบางอย่างจุกขึ้นมาที่อก ทำให้เขาเริ่มกลัว ไม่ได้กลัวชายตรงหน้า แต่กลัวใจตัวเองที่เผลอไผลไปกับรสสัมผัสที่ถูกมอบให้ น้ำตาเม็ดงามค่อยๆไหลลงมาอาบนวลแก้มที่แดงระเรื่ออย่างไม่อาจห้ามได้ เขาไม่รู้ว่าเขาร้องไห้ทำไม เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย หลังจากที่พ่อกับแม่เสีย ไม่ว่าเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตา แต่ทำไมกัน พอมาอยู่ต่อหน้าชายคนนี้แล้วเขาถึงได้รู้สึกอ่อนแออย่างนี้ รู้สึกอยากเผยตัวตนที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมา รู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าคนตรงหน้าสามารถเป็นที่ระบายความคับข้องใจต่างๆได้ ราวกับว่าชายคนนี้คือคนที่หัวใจของเขายอมรับ แต่ถึงหัวใจจะต้องการเพียงใดแต่จิตใจกลับขัดแย้งกันเอง...

                “มาสะเป็นอะไร! เจ็บตรงไหนรึเปล่า ไม่เอาไม่ร้องนะครับคนดี” ชายหนุ่มเมื่อเห็นมาสะร้องไห้ก็รีบดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดพร้อมกับถามไถ่ทันทีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างล้นพ้น เมื่อเห็นว่ามาสะเริ่มสงบลงเล็กน้อยแล้วเขาก็โน้มตัวลงจูบซับน้ำตาบนใบหน้าออกอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าถ้าสัมผัสแรงเกินไปร่างตรงหน้าอาจแหลกสลายไปได้

                “นี่มัน...เรื่อง...อะไรกัน” เสียงที่ดังราวกับกระซิบนั้นดังออกมาจากปากของคนตัวเล็กที่ถูกเขากอดอยู่ที่หน้าอก

                “ขอโทษนะ”คำขอโทษสั้นๆเรียกให้มาสะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้า ดวงตาสีม่วงที่น่าหลงใหลนั่น แต่ก่อนที่มาสะจะจมไปกับความคิดของตนเองนั้นชายตรงหน้าก็เริ่มพูดต่อ

                “ขอโทษที่ทำอะไรโดยไม่บอกก่อน ขอโทษที่ล่วงเกิน ฉันดีใจมากไปหน่อยก็เลยลืมน่ะว่ามาสะยังไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร” เขาจูบเบาๆลงบนเปลือกตาที่บวมช้ำของมาสะอย่างแผ่วเบาก่อนจะเริ่มพูดต่อ

                “ฉันมีชื่อว่า ไซน์ เอล วาลาลเช่ เป็นเจ้าชายจากแดนปีศาจ” มาสะอดคิดไม่ได้ว่าบางทีตัวเองอาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ เจ้าชายปีศาจ เรื่องไม่น่าเชื่อแบบนี้ต้องเป็นฝันแน่ๆ

                “พ่อกับแม่ของนายทำสัญญากับฉันยกนายให้เป็นภรรยาของฉัน” บ้าไปแล้วคนตรงหน้าเขาต้องเป็นคนบ้าหลุดมาจากไหนแน่ๆ แต่ก่อนที่มาสะจะได้ว่าอะไรมือของไซน์ก็ลูบหัวของเขาเบาๆแล้วจึงเอ่ยขึ้น

                “เดี๋ยวฉันจะคืนความทรงจำตอนนั้นให้”ว่าจบไซน์ก็ก้มลงจุมพิตเบาๆที่หน้าผาก ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อยๆดับวูบลง...

               
ย้อนกลับไปเมื่อ3ปีก่อน

                ในบ้านหลังหนึ่งที่ดูปกติธรรมดาไม่ต่างอะไรจากบ้านหลังอื่นๆในละแวกนั้น เมื่อมองเข้าไปในตัวบ้านจะเห็นครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่งกำลังนำกระเป๋าสัมภาระใบย่อมเดินตรงไปที่รถด้วยหน้าตายิ้มแย้ม

                “เดี๋ยวเราจะได้ไปเยี่ยมคุณลุงกะคุณป้าแล้วใช่มั้ยฮะ” มาสะที่วัยเพียง14ปีเอ่ยถามย้ำกับพ่อแม่ของเขาให้มั่นใจ

                “ตื่นเต้นใหญ่เชียวนะเราจะรีบไปหาสาวล่ะสิ” พ่อพูดหยอกมาสะเรื่องที่เขาชอบไปเล่นกับเด็กผู้หญิงที่อาศัยอยู่ข้างๆบ้านลุงกะป้าทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมทั้งสอง

                “เปล่าซะหน่อย” มาสะกล่าวยิ้มๆก่อนขึ้นรถไปนั่งตรงเบาะหลัง มาสะไม่เคยคิดอะไรกับเด็กคนนั้นจริงๆ ที่เล่นด้วยกันบ่อยๆก็เพราะแถวนั้นมีแค่เธอคนเดียวที่อายุใกล้ๆกับมาสะ

                “เอาล่ะ เตรียมของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปถึงค่ำซะเปล่าๆ” แม่ว่า

                ระหว่างทางที่นั่งรถไปนั้น บรรยากาศสบายๆ มีเสียงพูดคุยของคนในครอบครัวดังขึ้นมาเป็นพักๆ หมู่บ้านที่ลุงกับป้าอาศัยอยู่นั้นอยู่จังหวัดใกล้ๆ ที่ต้องใช้เวลาในการนั่งรถนานพอสมควร ประมาณ2ชั่วโมง มาสะในขณะนั้นกำลังเคลิ้มๆจะหลับไปกับบรรยากาศสบายชวนน่านอน แต่ก็ยังไม่ทันได้หลับสมใจหวัง เมื่ออยู่ๆแม่ของเขาก็ถามขึ้นมาว่า

                “มาสะ ปีนี้ลูกอายุเท่าไหร่แล้วนะ”

                “14 ฮะ” มาสะตอบทั้งๆที่ยังงงๆอยู่ว่าแม่ถามเขาทำไม

                “14แล้วสินะ ลูกโตขึ้นเยอะเลยรู้มั้ย เมื่อก่อนลูกจะทำอะไรยังต้องให้พ่อกับแม่ช่วยอยู่เลย ดูตอนนี้สิดูแลตัวเองก็ได้แล้ว ถ้าเกิดต่อไปพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ลูกก็คงไม่เป็นไร” ดวงตาที่เบิกกว้างของมาสะจ้องผู้เป็นมารดาตกใจ กับประโยคที่ฟังดูแล้วไม่ใช่ลางดีอย่างแน่นอน

                “มะ..แม่ฮะ..พูดอะไรแบบนั้น..มัน..”แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นเสียงของพ่อก็ดังขึ้น

                “เมื่อถึงตอนนั้นลูกต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้าลำบากมากนักก็ไปอยู่กับลุงกับป้าก็ได้ พวกเขาคงดีใจ” ขนาดพ่อยังพูดแบบนี้ออกมา มาสะรู้สึกเหมือนที่ลำคอมีก้อนอะไรสักอย่างมาอุดไว้ มันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

                “แม้แต่พ่อก็..” เสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบพร่าราวกับรับรู้ว่าอารมณ์ของเจ้าของเสียงตอนนี้เป็นอย่างไร

                เมื่อแม่ได้ยินเสียงที่แปลกไปของมาสะ เธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว เธอปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย ทำให้มาสะใจเสียขึ้นไปอีก แม่ของเขาร้องไห้หนักมาก เขาไม่เคยเห็นแม่ร้องให้ด้วยท่าทางโศกเศร้าอย่างนี้มาก่อน  ซึ่งนั่นทำให้มาสะร้องไห้ตามออกมาอย่างขวัญเสีย

                “แม่..ฮึก..ร้องไห้ทำไม...บอกผมมาสิ...ทำไมพูดแบบนั้น..ฮือ~” ทั้งแม่ทั้งลูกต่างร้องไห้กันอย่างหนัก คนเป็นพ่อที่รับรู้เหตุผลทุกอย่างก็อดที่จะตาแดงๆไม่ได้ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นจุดพักรถชมวิวตรงริมผา เขาก็ตัดสินใจเอารถเข้าจอดทันที ทันทีที่รถจอดสนิทเขาแทบจะพุ่งไปหาสองแม่ลูก รวบทั้งสองคนเข้าสู้อ้อมกอดราวกับว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ ไม่รู้จะมีโอกาสที่จะได้กอดทั้งคู่แบบนี้อีกมั้ย มาสะลูกของเขาเพิ่งจะอายุแค่นี้เอง ตัวเล็กแค่นี้ ถ้าถึงเวลาที่เขาไม่อยู่แล้วมาสะจะเป็นยังไง

                “ลูกต้องเข้มแข็งนะมาสะ” พ่อพูดกับลูกชายของตนที่ตอนนี้สงบลงมากแล้ว

                “ทำไมพ่อกับแม่พูดแบบนี้ล่ะฮะ” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากมาสะที่นั่งอยู่ระหว่างพ่อกับแม่ ตอนนี้ทั้งสามคนย้ายมานั่งคุยกันที่เบาะหลังเพื่อที่จะได้คุยกันสะดวก

                “ลูกอาจจะไม่เชื่อก็ได้แต่พ่อกับแม่กำลังจะต้องตายเร็วๆนี้”

                “อะไรทำให้พ่อกับแม่คิดแบบนั้นล่ะฮะ” มาสะเงยหน้าขึ้นสบตาทั้งสองคนอย่างต้องการคำตอบ

                ทั้งสองคนหันมาสบตาราวกับจะปรึกษากันว่าพวกเขาควรบอกเรื่องนี้กับมาสะดีมั้ย มันจะเร็วไปสำหรับมาสะรึเปล่า แต่ถ้าไม่บอกเขาตอนนี้เราอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กันก่อนที่คนเป็นพ่อจะดึงตัวมาสะให้เข้ามาสบตาเขา

                “เรื่องที่พ่อกับแม่จะเล่าต่อไปนี้ พ่ออยากให้ลูกนั่งฟังเงียบๆจนจบนะอย่าเพิ่งถามอะไร ถึงแม้มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อไปบ้างก็ตาม” มาสะพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน อะไรที่ทำให้พ่อกับแม่พูดแบบนี้กันนะ อะไรกันที่บีบคั้นทั้งคู่จนดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นหมองลงได้ถึงเพียงนี้ เขาอยากรู้เหตุผลทุกอย่าง อยากรู้ บางทีถ้าเขารู้ เขาอาจจะหยุดมันได้ บางทีนะ..

                เสียงอธิบายราบเรียบของทั้งพ่อและแม่ดังสลับกันไปเป็นช่วงๆ เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดที่พ่อกับแม่พูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริง...

                เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากตอนที่ทั้งสองคนสามีภรรยาตัดสินใจลงไปทำความสะอาดห้องใต้ดินของคุณปู่ที่เพิ่งเสียไป ห้องใต้ดินนั้นเรียกได้ว่าเป็นเขตหวงห้ามของทุกคนในบ้านเลยทีเดียว คุณปู่ไม่เคยยอมให้ใครเข้าไปโดยอ้างว่าข้างในมีของรักของหวงอยู่ ห้องใต้ดินที่เคยคิดว่าคงมีแต่ฝุ่นและของเต็มไปหมดนั้น พอเปิดประตูเข้าไปกลับเห็นเพียงแค่ห้องโล่งๆที่ไม่มีอะไรเลย แต่แล้วพอทั้งสองก้าวเข้าไปภาพที่เห็นก็พลันเปลี่ยนไปราวกับว่าก่อนหน้านี้เป็นแค่ภาพลวงตา ห้องที่เคยว่างเปล่าปรากฏข้าวของเครื่องใช้ขึ้นตามมุมต่างๆ  กลางห้องปรากฏภาพวาดวงกลมขนาดใหญ่พร้อมลวดลายแปลกตา เลยไปตรงมุมห้อง ข้างๆตู้ใบใหญ่ทั้งคู่มองเห็น สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนจะออกมาจากหนังสือแฟนตาซีตัวสูงแค่เข่ามีเขาเล็กๆสองอันประดับอยู่บนศีรษะกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า และเหมือนปีศาจน้อยตนนั้นจะสังเกตเห็นทั้งสองที่เข้ามาพอดีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

                “พวกเจ้าปรารถนาสิ่งใดกันถึงได้เข้ามาในที่แห่งนี้” แต่ทั้งสองคนยังคงตะลึงกับสิ่งที่เห็นเกินกว่าที่จะมีสติรับรู้สิ่งที่ปิศาจตนนั้นถามได้

                “หรือพวกเจ้าจะมาต่อสัญญาที่ตาแก่ทำไว้กับข้า”ปิศาจตนน้อยยังพูดต่อไปไม่หยุดโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าทั้งสองนั้นสับสนเกินกว่าจะรับรู้สิ่งใด

                “พวกเจ้าจะขอข้าในสิ่งเดียวกันกับที่ตาแก่ขอใช่มั้ย คงขอสินะเพราะข้าอยู่บ้านหลังนี้มาหลายรุ่นแล้ว ทุกคนขอข้าเหมือนกันหมด พวกเจ้าเองก็คงขอเหมือนกันสินะ” เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ เจ้าปิศาจตนน้อยก็คิดเองเออเองเสียเสร็จสรรพ

                “แล้วพวกเจ้าอยากได้ลูกชายหรือลูกสาวล่ะ”

                “ลูกชาย” คนเป็นสามีเผลอเอ่ยตอบคำถามนั้นออกไปโดยไม่ทันได้คิด หลังจากได้คำตอบแล้วปิศาจตนนั้นก็พูดพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

                “หลังจากความสัมพันธ์ครั้งต่อไปนางจะตั้งครรภ์บุตรของเจ้า คำขอนี้แลกกับอายุขัยครึ่งหนึ่งของพวกเจ้าทั้งสอง”เมื่อปิศาจน้อยพูดจบลงทั้งสองถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

                “เดี๋ยวก่อนสิ ที่พูดเมื่อกี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน” คนเป็นสามีเอ่ยถามกลับอย่างใจเสีย

                “อ้าว! ก็พวกเจ้าเพิ่งทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับปิศาจสำเร็จไปน่ะสิถามได้”ปิศาจตนนั้นกล่าวตอบอย่างติดจะรำคาญนิดๆ

                “แล้วอายุขัยครึ่งหนึ่งที่ว่านี่หมายความว่าอย่างไรกัน” ภรรยาถามออกไปด้วยเสียงอันสั่นเทา เจ้าปิศาจหันมายิ้มยิงฟันสีเหลืองอ๋อยน่าขยะแขยงให้แล้วตอบไปว่า

                “อายุขัยเพื่อมาเป็นพลังในการเกิดชีวิตของลูกเจ้าไง อ้อ พวกเจ้าคงอยากรู้สินะว่าอายุขัยครึ่งหนึ่งที่ว่าเนี่ยมันมากแค่ไหน ก็ไม่มากหรอก แค่พวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ถึงตอนที่ลูกสุดที่รักของเจ้ามีอายุประมาณ14เท่านั้นยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ ข้าไปล่ะ บ้านนี้น่าเบื่อ ข้าจะไปหาบ้านหลังใหม่อยู่แล้ว”ว่าจบเจ้าปิศาจก็หยิบกระเป๋าขึ้นแล้วเดินทะลุกำแพงห้องแล้วหายตัวไปเลย

                ในตอนแรกทั้งสองคนคิดว่านี่อาจจะเป็นแค่ความฝัน พวกเขาอาจจะแค่เพ้อไปกันเอง แต่หลังจากนั้นไม่นานเป็นอย่างที่ปิศาจตนนั้นกล่าว พวกเขาทั้งสองกำลังจะมีลูกกัน  และผลที่ออกมาก็เป็นเด็กผู้ชายอย่างที่หวังเสียด้วย ทั้งคู่พยายามทุกวิถีทางในการแก้ไขคำสาปเรื่องอายุขัย แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้จักปิศาจพวกนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รู้ว่ามันไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ ในที่สุดทั้งสองก็ล้มเลิกที่จะหาวิธีเอาตัวรอด ทั้งคู่ตัดสินใจแล้ว พวกเขาไม่กลัวที่จะต้องตาย สิ่งเดียวที่ทั้งคู่กังวลคือถ้าพวกเขาตายไปแล้วลูกของเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เด็กอายุ14จะดูแลตัวเองได้แค่ไหนเชียว พวกเขาสอนทุกอย่างที่สอนได้ เตรียมทุกอย่างที่สามารถเตรียมได้ เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไป ลูกของพวกเขาจะได้ไม่ลำบากจนเกินไปนัก...

--------------------------------
ตอนต่อไป>>> ตอนที่ 3: คำสัญญา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น