ตอนที่10: งานประกวด
“ปล่อยเถอะ
เดี๋ยวมีใครมาเห็น” มาสะพยายามดันแขนแกร่งที่โอบกอดเขาอยู่ออกอย่างขัดเขิน
ถึงแม้ภายในใจจะพองโตไปด้วยความสุขสักเท่าไหร่
แต่สามัญสำนึกกลับสั่งให้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาไม่ควรได้อ้อมกอดอบอุ่นนี้
เขาไม่ดีพอสำหรับมัน
ไซน์ไม่ได้ปล่อยมาสะออกในทันที
เขาเพียงแค่คลายอ้อมกอดให้หลวมขึ้นเท่านั้น ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูอย่างหยอกเย้า
“ไม่มีใครมาเห็นเราหรอก
ตรงนี้ลับตาคนจะตายถ้าไม่ส่งเสียงดังก็ไม่มีใครรู้” มาสะได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น
เขายอมให้คนคนนี้เอาเปรียบเสมอ แถมเป็นการเอาเปรียบที่ลึกๆแล้วเขาก็แอบพอใจด้วย
แต่แบบนี้มันไม่ดีเลย ไม่ดีเลยจริงๆ...
ไซน์มองคนในอ้อมกอดของเขาเงียบๆ
ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกขัดแย้งในตัวของมาสะ
ถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่เขารู้ดีที่สุดว่าสาเหตุของความขัดแย้งในตัวร่างบางนั้น
คงไม่พ้นมีเขาเป็นต้นเหตุ
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบแล้วรอการตัดสินใจของร่างในอ้อมกอดนี้
มาสะต้องการเวลามากกว่านี้ เวลาในการตัดสินใจ มันช่างน้อยเหลือเกิน...
และแล้วบรรยากาศหวานเล็กๆอบอุ่นหน่อยๆของทั้งคู่ก็เป็นอันต้องจบลง
เมื่อเสียงพูดคุยโวยวายมากมายดังขึ้น
“ไฟติดแล้ว!”
“ทุกคนเตรียมตัวจัดงานต่อภายใน10นาที”
“รีบเช็คเครื่องสิว่ามีเครื่องไหนเป็นอะไรรึเปล่า”
หอประชุมที่เคยมืดสลัวบัดนี้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
เสียงดังตะโกนโหวกเหวกของบรรดาทีมงาน
กับเสียงพูดคุยของบรรดาผู้เข้าชมที่เริ่มถยอยกลับเข้ามาในหอประชุม
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งอย่างที่มันควรจะเป็น....
“เอ่อ...ต้องไปแล้ว”
มาสะพูดเบาๆกับเจ้าของอ้อมแขนแกร่ง เขาหาได้ขืนตัวหรือพยายามออกจากอ้อมกอดของไซน์แต่อย่างใด
เขาเพียงแค่พูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ดังราวกับเสียงกระซิบ
ไซน์โอบกระชับร่างบางในอ้อมแขนของตนแน่นอีกครั้ง
ก่อนกระซิบเบาๆเป็นการให้กำลังใจ
”พยายามเข้านะ”
มาสะรับรู้ได้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่ผละออกไป
เขาตั้งใจจะหันไปขอบคุณสำหรับคำอวยพรนั้นเสียหน่อย แต่พอเขาหันกลับไป
ปรากฏว่าบริเวณนั้นเหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไซน์ไม่ได้อยู่บริเวณหลังเวทีแล้ว
เขารู้สึกอย่างนั้น
มาสะโอบกอดตัวเองให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด
แต่ตอนนี้หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นด้วยซ้ำ เขากำลังพยายามจำ
จดจำสัมผัสอุ่นที่ได้รับนี้ จดจำให้ตราตรึงเข้าไปถึงดวงวิญญาณ ก่อนที่เวลาที่เหลืออยู่นี้จะหมดลง....
หลายวันมานี้เขาพบความผิดปกติของตัวเองมากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่แค่ง่วงตลอดอย่างที่คิด แต่เขา กำลังอ่อนแอลง
เขารู้สึกราวกับจะแตกสลายไปทุกครั้งที่ต้องทำอะไรที่ใช้แรงมากเกินไป
เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว เขารู้ เขาจึงพยายามกอบโกยความสุขเล็กๆน้อยๆที่เขาสามารถทำได้ไว้
จดจำมัน จดจำทุกสิ่งที่ได้รับรู้ ก่อนจะถึงเวลาที่ตัวเขาจะไม่รับรู้อะไรอีก...
“นี่นาย เป็นอะไรน่ะ
ไหวรึเปล่า” น้ำเสียงหวานปนห้าวดังขึ้นพร้อมสัมผัสเบาๆที่บริเวณหัวไหล่
อาซาโนะถามออกมาอย่างอดห่วงไม่ได้
เพราะตั้งแต่เตรียมงานด้วยกันมาเธอสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติบางอย่างในตัวผู้ชายตรงหน้าเธอ
หมอนี่เหมือนคนไม่สบาย เหนื่อยง่ายยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆ แถมนับวันก็ดูยิ่งซีดขึ้นเรื่อยๆด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นนายคนนี้ก็ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
ทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียวเสมอ
จนทำให้เธอรู้สึกว่าคนคนนี้ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน...
“ไม่เป็นไรครับ
แค่เหม่อนิดหน่อย ไปเตรียมตัวกันเถอะ” มาสะบอกปัดยิ้มๆ ก่อนจะเดินนำอาซาโนะออกไปรวมกับผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ
การประกวดได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว!!
“ขออภัยท่านผู้มีเกียรติทุกท่านสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนะครับ
เนื่องจากเสียเวลาไปมากแล้วระหว่างที่ทีมงานของเรากำลังตรวจสอบอุปกรณ์เป็นครั้งสุดท้าย
ผมจะขออ่านกติกาในการประกวดครั้งนี้ให้ทุกท่านทราบไปพลางๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานะครับ”
“คะแนนในการตัดสินจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
จากกรรมการ50%
และจากท่านผู้ชมอีก50%ครับ
ซึ่งท่านผู้ชมทุกท่านสามารถช่วยกันลงคะแนนให้ผู้เข้าประกวดที่ชื่นชอบได้ด้วยการให้ลูกโป่งที่ขายอยู่ด้านหน้าและด้านข้างของหอประชุมแห่งนี้
ผู้เข้าประกวดที่ได้รับลูกโป่งเยอะที่สุดจะได้คะแนนเต็ม50ในส่วนนี้
และคะแนนจะลดลั่นกันลงมาตามสัดส่วนของลูกโป่งที่ได้ครับ”
นักเรียนและผู้ชมบางส่วนเริ่มลุกออกมาซื้อลูกโป่งเตรียมไว้บ้างแล้ว
และอีกหลายคนที่ทยอยกันเข้ามาด้านในหอประชุม
จนตอนนี้สถานที่แห่งนี้ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
“ส่วนคะแนนจากทางด้านกรรมการนั้น
เนื่องจากเสียเวลาไปพอสมควรจึงมีมติให้การทดสอบเหลือแค่การตอบคำถาม
และการตรวจสอบความเหมาะสมทางการปฏิบัติ...?”
“เอาล่ะครับท่านผู้ชมเวลาที่ทุกท่านรอคอยได้มาถึงแล้ว
ขอเชิญทุกท่านยลโฉมผู้เข้าประกวดทั้ง12 คู่ของเราได้แล้วครับ!”
นักเรียนชายหญิงที่เข้าประกวดทั้งหลายต่างทยอยกันเดินออกมาอวดโฉมบนเวทีทีละคู่
ซึ่งทุกคู่สามารถเรียกเสียงเฮฮาจากบรรดาผู้ชมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเสียงหัวเราะ
เป็นที่รู้ๆกันว่าการจะหายเด็กผู้ชายม.ปลายที่ตัวเล็กพอจะเอามาแต่งเป็นผู้หญิงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทำให้เจ้าหญิงหลายคนที่ขึ้นมาบนเวทีมีรูปร่างที่ถึกและบึกบึนกว่าเจ้าชายที่เป็นคู่ของตนเสียอีก
แต่ถึงแม้จะดูขบขันมากแค่ไหนแต่ก็ยังมีผู้ชมหลายคนที่ถูกใจ
ชุดที่เหล่าผู้เข้าประกวดใส่กันมาก็มีหลายหลายกันไป
เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการประกวดเพื่อหาเจ้าหญิงเจ้าชายแต่นักเรียนทุกคนก็รู้ลึกๆอยู่ในใจว่าถ้าแต่งออกมาธรรมดาๆยังไงก็ไม่ชนะแน่ๆ
ดังนั้นแต่ละห้องจึงพยายามหาชุดที่คิดว่าดีที่สุดและตรงหัวข้อมาให้ตัวแทนของตนใส่
อย่างผู้เข้าประกวดคู่ที่ผ่านไปเมื่อไม่นานนี้
แต่งตัวด้วยชุดสีสันสดใสที่มีปีกสีใสประดับติดด้านหลัง
เพื่อบ่งบอกว่าทั้งคู่เป็นเจ้หญิงเจ้าชายจากดินแดนแห่งภูต
ผู้เข้าประกวดหลายคู่ผ่านไปเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่มีหยุด
ในที่สุดก็ถึงตาของปี2ห้อง3 เสียงพูดคุยเฮฮาเงียบลงทันทีที่ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันออกมา...
นำมาด้วยอาซาโนะที่ออกมาในชุดสูทสีขาวสะอาดตา
ทำให้ร่างเพรียวดูภูมิฐานมากกว่าทุกๆครั้ง
ทรงผมถูกรวบเปิดให้เห็นใบหน้าหวานที่ติดหล่อเหลา
รอยยิ้มนิดๆประดับบนใบหน้าทำให้เธอดูเหมือนเจ้าชายที่หลุดออกมาจากนิทานเรื่องไหนสักเรื่อง
และตามติดมาด้วย มาสะในชุดกระโปรงยาวฟูฟ่องสีขาวที่ทำมาจากผ้าผืนบางที่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นผ้าสีขาวจีบสวยด้านในที่สั้นเลยเหนือเข่ามาเล็กน้อย
ทำให้สามารถมองทะลุเห็นเรียวขางามได้
ด้านบนของชุดเป็นผ้าที่ถูกพับไปมาเป็นเกาะอกที่เผยให้เห็นหัวไหล่มนบาง
ที่ถูกคลอเคลียด้วยกลุ่มผมสีน้ำตาลลอนสวย
บริเวณคอมีสร้อยเส้นบางที่ถูกร้อยไว้ด้วยแหวนทองคำขาววงสวยประดับเด่นอยู่
ด้านบนศีรษะประดับด้วยผ้าคลุมหน้าผืนบาง
ที่ตอนนี้ถูกเปิดออกเพื่อให้เหล่าผู้เข้าชมได้มีโอกาสเห็นในหน้านั้นอย่างชัดเจน
ใบหน้าหวานที่แดงระเรื่อด้วยความอายบวกกับเทคนิคการแต่งหน้า ทำให้ในที่นี่ตอนนี้
ทุกคนต่างจ้องมองผู้เข้าประกวดคู่นี้เป็นสายตาเดียวกัน
โดยไม่ต้องคิดให้หนักหัวเลยว่านักเรียนปี2ห้อง3นี้แต่งออกมาในชุดของเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่นเอง
และไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก
แม้ในใจทุกคนจะรู้ดีว่าที่เห็นยืนหล่ออยู่บนเวทีนั่นเป็นผู้หญิง
และเจ้าสาวตัวน้อยนั้นคือผู้ชายก็ตาม!
“หือ ดูดีกว่าตอนที่ลองชุดอีกนะเนี่ย” อาจารย์คุโรคาวะพูดกับตัวเองเมื่อได้เห็นลูกศิษย์ทั้งสองบนเวที
แต่ก็ไม่วายมีเสียงตอบกลับมา
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะอาจารย์ ลองชุดนั่นจริงๆก็แค่ลองไซส์ให้แน่ใจเฉยๆ
พวกหนูแต่งชุดกันใหม่เกือบหมดอาจารย์ไม่สังเกตเหรอ
แถมวันนี้สองคนนั้นยังแต่งหน้าทำผมด้วยไม่ออกมาดูดีได้ยังไง
แบบนี้ห้องเรามีหวังคะแนนนำโด่งแน่เลย”
อาจารย์คุโรคาวะยิ้มน้อยๆให้กับความมั่นใจของลูกศิษย์ตน ก่อนจะมองไปยังตัวแทนของห้องทั้งสอง
จริงอยู่ว่าแต่งออกมาได้ดีมาก แต่...
“ยังไม่แน่หรอกว่าจะชนะ ต้องรอดูจนถึงที่สุดเท่านั้น...”
ซึ่งก็เป็นอย่างที่อาจารย์คาดเอาไว้ แน่นอนว่ามีคนนำลูกโป่งไปมอบให้คู่นี้
แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะเหมือนกันที่เหล่านักเรียนปี2ห้อง3คาดกันเอาไว้ ยังมีผู้ชมอีกหลายคนที่รอดูผู้เข้าประกวดให้ครบก่อนค่อยตัดสินใจอีกค่อนข้างมาก
การปรากฏตัวของเหล่าผู้เข้าประกวดผ่านไปเรื่อยๆ นักเรียนปี2ห้อง3 เริ่มที่จะยิ้มแก้มปริขึ้นทุกที
เพราะในตอนนี้ยังไม่มี คูไหนดูดีเท่าคูอาซาโนะกับมาสะอีกแล้ว
และในที่สุดก็มาถึงคู่สุดท้าย คู่ของรุ่นพี่ปี3ห้อง4
ทั้งคู่ค่อยๆเดินออกมาจากเงามืดอย่างช้าๆ และทันทีที่แสงไปส่องกระทบร่างทั้งสอง
นักเรียนปี2ห้อง3ทุกคนถึงกับหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าคู่นี้ดูน่าเกียจจนทนไม่ได้
แต่เป็นเพราะคู่นี้เองก็เป็นอีกคู่ที่แต่งออกมาได้เหมาะกันมาก แถมทั้งคู่ก็มาในชุดแต่งงานเหมือนกัน!
แต่ต่างกันก็ตรงที่รุ่นพี่เขาแต่งตัวแบบญี่ปุ่น
ซึ่งก็ดูเป็นวิธีการเลือกที่ชาญฉลาด เพราะฝ่ายหญิงที่แต่งเป็นเจ้าบ่าวนั้น
หลายคนจำได้ว่าเธอไม่ใช่คนเตี้ยแต่ก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น
เดาได้เลยว่าภายใต้ชุดที่ปิดมาถึงพื้นนั้นคงเป็นรองเท้าที่สูงเอาเรื่องอยู่
และคงมีการเสริมไหล่กับอีกหลายๆส่วน ทำให้เธอดูเหมือนซามุไรหน้าหวาน
ที่กำลังจะได้เข้าพิธีแต่งงานกับหญิงสาวที่สวยมาก
แน่นอนว่าคนที่ประกวดเป็นเจ้าหญิงของรุ่นพี่ปี3ห้องนี้นั้น เรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา เขาชื่อ อิมาอิ เรียว นักเรียนทุนดีเด่นของโรงเรียน
ที่มีดีทั้งหน้าตา กีฬาและการเรียน แต่แน่ล่ะจะมีซักกี่คนที่คิดได้ว่า
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแบบนั้นจะสามารถแต่งออกมาได้สวยขนาดนี้
แถมชุดกิโมโนสีขาวนั่นคงมีการเอาผ้าด้านในออกเพื่อไม่ให้แต่งออกมาดูบึกบึนเกินไป
นอกจากนี้ยังช่วยพลางรูปร่างอีกด้วย ทำให้คู่นี้กลายเป็นอีกคู่ที่น่าจับตามอง...
บรรดาลูกโป่งมากมายหลากหลายสีสันถูกยื่นให้กับคู่ของอิมาอิอย่างล้นหลาม
แต่ก็มีหลายคนที่หลังจากให้คู่อิมาอิแล้วจึงเดินเอามาให้แก่มาสะเช่นกันเหมือนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรให้ใครดี
ทั้งสองคู่กลายเป็นคู่ที่ได้ลูกโป่งเยอะที่สุด
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าคู่ไหนคือคู่ที่ได้ลูกโป่งเยอะกว่ากัน
“อีก5นาทีเราจะปิดการให้ลูกโป่งผู้เข้าประกวดนะครับ
แต่ไม่ต้องห่วง เราจะมีรอบสองให้ทุกท่านโหวตอีกครั้งแน่นอน
หลังจากการให้คะแนนของกรรมการ”
หลังจากผู้เข้าประกวดทุกคนยอกเว้นผู้เข้าประกวดคู่แรกลงจากเวทีแล้ว
การซักถามของกรรมการก็เริ่มขึ้นในทันทีเพื่อย่นระยะเวลาที่เสียไป
เริ่มจากการแนะนำตนเองของผู้เข้าประกวด แล้วตามด้วยคำถามว่า’การแต่งตัวของพวกคุณมีความเป็น prince และ princess อย่างไร’
หลังจากผู้เข้าประกวดตอบคำถามแล้ว เหล่ากรรมการก็จะนำสิ่งที่ผู้เข้าประกวดตอบ
หรืออะไรก็ตามรอบๆตัวผู้เข้าประกวดมาตั้งคำถามต่อ
ซึ่งหลายคำถามก็ไล่ต้อนเหล่าผู้เข้าประกวดจนพูดจาตะกุกตะกักกันเป็นแถว
ผู้เข้าประกวดทยอยตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงคิวของตัวแทนปี2ห้อง3
อาซาโนะเดินนำโดยมีมาสะคล้องแขนตามออกมา
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงตรงกลางเวทีซึ่งมีไมโครโฟนตั้งอยู่2ตัว กรรมการก็เริ่มถามคำถามทันที
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวนี่เกี่ยวอะไรกับPrince & Princessล่ะ”
“งานแต่งงานถือเป็นงานที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ดังนั้นทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในงานจึงเปรียบได้กับเจ้าชายและเจ้าหญิงในงาน....”
อาซาโนะตอบอย่างได้ฉะฉานเพราะเธอเองก็เคยถามคำถามทำนองนี้กับเสื้อผ้า
แต่ยังไม่ทันที่อาซาโนะจะตอบคำถามได้สมบูรณ์ กรรมการอีกคนก็ถามสวนขึ้นมา
“แล้วทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง” อาซาโนะที่มีสติดีรีบตอบคำถามของกรรมการทันที
“รู้จักกันตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ใกล้ๆกันก็เลยเจอกันบ่อยๆ...”
แต่ก่อนที่จะทันโล่งใจกรรมการก็ถามขึ้นมาอีกซึ่งเป็นคำถามที่เรียกเสียงเฮฮาจากผู้ชมได้พอสมควร
“แล้วใครเป็นคนสารภาพรักก่อนล่ะ” ถึงผู้ชมจะรู้ว่าคำตอบส่วนใหญ่นั้นล้วนป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
แต่เหล่าผู้ชมก็สนุกสนานไปกับการเอาตัวรอดและไหวพริบอันไหลลื่นของบรรผู้เข้าประกวด
“เจ้าสาวออกจะขี้อายขนาดนี้ก็ต้องเป็นผมอยู่แล้ว”
แทนตัวเองด้วยผมอย่างที่เตี๊ยมกันมาก่อนโอบไหล่มาสะให้แนบเข้าหาตัวเองมากขึ้น
ทำให้ได้รับเสียงโห่เสียงผิวปากจากเหล่าผู้ชมทั้งหลาย
“คราวนี้ให้เจ้าสาวตอบนะ แต่งงานกันแล้วทำไมเอาแหวนมาสวมคอล่ะ
แทนที่จะใส่ไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย” คำถามนี้ทำเอาทีมงานปี2ห้อง3ทำหน้าเครียดกันเป็นแถว
เพราะเดิมทีสร้อยที่จะให้มาสะใส่ไม่ใช่เส้นนี้ แต่เจ้าตัวยืนกรานจะไม่ยอมถอด
เพื่อนจึงได้แต่ปล่อยไปเพราะมันก็เข้ากับชุดดี แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ากรรมการจะถามอย่างนี้
อาซาโนะเหลือบมองดูคู่ของตนเองอย่างหวั่นๆ หมอนี่จะตอบได้มั้ยเนี่ย
มาสะก้มมองดูแหวนที่คอตนเองเล็กน้อย
ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นมาสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาก่อนจะเปล่งคำพูดออกมา
“เป็นแหวนที่เขาให้หนูตอนที่สารภาพรักครั้งแรก...เขาให้หนูไว้แล้วบอกให้เก็บคำสารภาพของเขาไปคิด
ถ้าตกลงก็ให้สวมแหวนวงนี้ให้เขาเห็น มันเป็นแหวนวงสำคัญ...แหวนแห่งความทรงจำ
หนูอย่างให้ความทรงจำดีๆแบบนี้อยู่กับหนูด้วยในวันแต่งงาน เลยเอาแหวนวงนี้มาสวมแทนสร้อยค่ะ”
ใบหน้าหวานแดงระเรื่อที่ปลดปล่อยคำพูดเหล่านั้นออกมาพร้อมกับร้อยยิ้มหวานสุขใจ
ราวกับเรื่องที่พูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองจริงๆ
อาซาโนะอมยิ้มน้อยๆที่มุมปากเหมือนเดินตั้งแต่ต้น เธอมองดูชายข้างๆเธอตลอดเวลาที่เขาพูด
คำพูดทุกคำพูดเหมือนกลั่นออกมาจากใจ แม้ตอนท้ายอิซึกิจะหันมายิ้มให้เธอ
แต่เธอก็รู้สึกได้ว่า รอยยิ้มของคนข้างๆตัวนั้นไม่ได้ส่งมาให้เธอแม้แต่น้อย
แต่เหมือนกับส่งไปให้ใครคนอื่น คนที่เป็นเจ้าของแหวนตัวจริง...
ตอนต่อไป : ตอนที่11
ตอนต่อไป : ตอนที่11
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น