วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่10: งานประกวด

ตอนที่10: งานประกวด

“ปล่อยเถอะ เดี๋ยวมีใครมาเห็น” มาสะพยายามดันแขนแกร่งที่โอบกอดเขาอยู่ออกอย่างขัดเขิน ถึงแม้ภายในใจจะพองโตไปด้วยความสุขสักเท่าไหร่ แต่สามัญสำนึกกลับสั่งให้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาไม่ควรได้อ้อมกอดอบอุ่นนี้ เขาไม่ดีพอสำหรับมัน

ไซน์ไม่ได้ปล่อยมาสะออกในทันที เขาเพียงแค่คลายอ้อมกอดให้หลวมขึ้นเท่านั้น ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูอย่างหยอกเย้า

“ไม่มีใครมาเห็นเราหรอก ตรงนี้ลับตาคนจะตายถ้าไม่ส่งเสียงดังก็ไม่มีใครรู้” มาสะได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น เขายอมให้คนคนนี้เอาเปรียบเสมอ แถมเป็นการเอาเปรียบที่ลึกๆแล้วเขาก็แอบพอใจด้วย แต่แบบนี้มันไม่ดีเลย ไม่ดีเลยจริงๆ...

ไซน์มองคนในอ้อมกอดของเขาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกขัดแย้งในตัวของมาสะ ถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้ดีที่สุดว่าสาเหตุของความขัดแย้งในตัวร่างบางนั้น คงไม่พ้นมีเขาเป็นต้นเหตุ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบแล้วรอการตัดสินใจของร่างในอ้อมกอดนี้ มาสะต้องการเวลามากกว่านี้ เวลาในการตัดสินใจ มันช่างน้อยเหลือเกิน...

และแล้วบรรยากาศหวานเล็กๆอบอุ่นหน่อยๆของทั้งคู่ก็เป็นอันต้องจบลง เมื่อเสียงพูดคุยโวยวายมากมายดังขึ้น

“ไฟติดแล้ว!

“ทุกคนเตรียมตัวจัดงานต่อภายใน10นาที”

“รีบเช็คเครื่องสิว่ามีเครื่องไหนเป็นอะไรรึเปล่า”

หอประชุมที่เคยมืดสลัวบัดนี้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง เสียงดังตะโกนโหวกเหวกของบรรดาทีมงาน กับเสียงพูดคุยของบรรดาผู้เข้าชมที่เริ่มถยอยกลับเข้ามาในหอประชุม ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งอย่างที่มันควรจะเป็น....

“เอ่อ...ต้องไปแล้ว” มาสะพูดเบาๆกับเจ้าของอ้อมแขนแกร่ง เขาหาได้ขืนตัวหรือพยายามออกจากอ้อมกอดของไซน์แต่อย่างใด เขาเพียงแค่พูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ดังราวกับเสียงกระซิบ

ไซน์โอบกระชับร่างบางในอ้อมแขนของตนแน่นอีกครั้ง ก่อนกระซิบเบาๆเป็นการให้กำลังใจ

”พยายามเข้านะ”

มาสะรับรู้ได้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่ผละออกไป เขาตั้งใจจะหันไปขอบคุณสำหรับคำอวยพรนั้นเสียหน่อย แต่พอเขาหันกลับไป ปรากฏว่าบริเวณนั้นเหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไซน์ไม่ได้อยู่บริเวณหลังเวทีแล้ว เขารู้สึกอย่างนั้น

มาสะโอบกอดตัวเองให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด แต่ตอนนี้หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นด้วยซ้ำ เขากำลังพยายามจำ จดจำสัมผัสอุ่นที่ได้รับนี้ จดจำให้ตราตรึงเข้าไปถึงดวงวิญญาณ ก่อนที่เวลาที่เหลืออยู่นี้จะหมดลง....

หลายวันมานี้เขาพบความผิดปกติของตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ง่วงตลอดอย่างที่คิด แต่เขา กำลังอ่อนแอลง เขารู้สึกราวกับจะแตกสลายไปทุกครั้งที่ต้องทำอะไรที่ใช้แรงมากเกินไป เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว เขารู้ เขาจึงพยายามกอบโกยความสุขเล็กๆน้อยๆที่เขาสามารถทำได้ไว้ จดจำมัน จดจำทุกสิ่งที่ได้รับรู้ ก่อนจะถึงเวลาที่ตัวเขาจะไม่รับรู้อะไรอีก...

“นี่นาย เป็นอะไรน่ะ ไหวรึเปล่า” น้ำเสียงหวานปนห้าวดังขึ้นพร้อมสัมผัสเบาๆที่บริเวณหัวไหล่ อาซาโนะถามออกมาอย่างอดห่วงไม่ได้ เพราะตั้งแต่เตรียมงานด้วยกันมาเธอสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติบางอย่างในตัวผู้ชายตรงหน้าเธอ หมอนี่เหมือนคนไม่สบาย เหนื่อยง่ายยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆ แถมนับวันก็ดูยิ่งซีดขึ้นเรื่อยๆด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนายคนนี้ก็ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียวเสมอ จนทำให้เธอรู้สึกว่าคนคนนี้ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน...

“ไม่เป็นไรครับ แค่เหม่อนิดหน่อย ไปเตรียมตัวกันเถอะ” มาสะบอกปัดยิ้มๆ ก่อนจะเดินนำอาซาโนะออกไปรวมกับผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ การประกวดได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว!!


“ขออภัยท่านผู้มีเกียรติทุกท่านสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนะครับ เนื่องจากเสียเวลาไปมากแล้วระหว่างที่ทีมงานของเรากำลังตรวจสอบอุปกรณ์เป็นครั้งสุดท้าย ผมจะขออ่านกติกาในการประกวดครั้งนี้ให้ทุกท่านทราบไปพลางๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานะครับ”

“คะแนนในการตัดสินจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน จากกรรมการ50% และจากท่านผู้ชมอีก50%ครับ ซึ่งท่านผู้ชมทุกท่านสามารถช่วยกันลงคะแนนให้ผู้เข้าประกวดที่ชื่นชอบได้ด้วยการให้ลูกโป่งที่ขายอยู่ด้านหน้าและด้านข้างของหอประชุมแห่งนี้ ผู้เข้าประกวดที่ได้รับลูกโป่งเยอะที่สุดจะได้คะแนนเต็ม50ในส่วนนี้ และคะแนนจะลดลั่นกันลงมาตามสัดส่วนของลูกโป่งที่ได้ครับ”

นักเรียนและผู้ชมบางส่วนเริ่มลุกออกมาซื้อลูกโป่งเตรียมไว้บ้างแล้ว และอีกหลายคนที่ทยอยกันเข้ามาด้านในหอประชุม จนตอนนี้สถานที่แห่งนี้ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

“ส่วนคะแนนจากทางด้านกรรมการนั้น เนื่องจากเสียเวลาไปพอสมควรจึงมีมติให้การทดสอบเหลือแค่การตอบคำถาม และการตรวจสอบความเหมาะสมทางการปฏิบัติ...?”

“เอาล่ะครับท่านผู้ชมเวลาที่ทุกท่านรอคอยได้มาถึงแล้ว ขอเชิญทุกท่านยลโฉมผู้เข้าประกวดทั้ง12 คู่ของเราได้แล้วครับ!


นักเรียนชายหญิงที่เข้าประกวดทั้งหลายต่างทยอยกันเดินออกมาอวดโฉมบนเวทีทีละคู่ ซึ่งทุกคู่สามารถเรียกเสียงเฮฮาจากบรรดาผู้ชมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเสียงหัวเราะ เป็นที่รู้ๆกันว่าการจะหายเด็กผู้ชายม.ปลายที่ตัวเล็กพอจะเอามาแต่งเป็นผู้หญิงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำให้เจ้าหญิงหลายคนที่ขึ้นมาบนเวทีมีรูปร่างที่ถึกและบึกบึนกว่าเจ้าชายที่เป็นคู่ของตนเสียอีก แต่ถึงแม้จะดูขบขันมากแค่ไหนแต่ก็ยังมีผู้ชมหลายคนที่ถูกใจ

ชุดที่เหล่าผู้เข้าประกวดใส่กันมาก็มีหลายหลายกันไป เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการประกวดเพื่อหาเจ้าหญิงเจ้าชายแต่นักเรียนทุกคนก็รู้ลึกๆอยู่ในใจว่าถ้าแต่งออกมาธรรมดาๆยังไงก็ไม่ชนะแน่ๆ ดังนั้นแต่ละห้องจึงพยายามหาชุดที่คิดว่าดีที่สุดและตรงหัวข้อมาให้ตัวแทนของตนใส่ อย่างผู้เข้าประกวดคู่ที่ผ่านไปเมื่อไม่นานนี้ แต่งตัวด้วยชุดสีสันสดใสที่มีปีกสีใสประดับติดด้านหลัง เพื่อบ่งบอกว่าทั้งคู่เป็นเจ้หญิงเจ้าชายจากดินแดนแห่งภูต

ผู้เข้าประกวดหลายคู่ผ่านไปเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่มีหยุด ในที่สุดก็ถึงตาของปี2ห้อง3 เสียงพูดคุยเฮฮาเงียบลงทันทีที่ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันออกมา...

นำมาด้วยอาซาโนะที่ออกมาในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ทำให้ร่างเพรียวดูภูมิฐานมากกว่าทุกๆครั้ง ทรงผมถูกรวบเปิดให้เห็นใบหน้าหวานที่ติดหล่อเหลา รอยยิ้มนิดๆประดับบนใบหน้าทำให้เธอดูเหมือนเจ้าชายที่หลุดออกมาจากนิทานเรื่องไหนสักเรื่อง

และตามติดมาด้วย มาสะในชุดกระโปรงยาวฟูฟ่องสีขาวที่ทำมาจากผ้าผืนบางที่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นผ้าสีขาวจีบสวยด้านในที่สั้นเลยเหนือเข่ามาเล็กน้อย ทำให้สามารถมองทะลุเห็นเรียวขางามได้ ด้านบนของชุดเป็นผ้าที่ถูกพับไปมาเป็นเกาะอกที่เผยให้เห็นหัวไหล่มนบาง ที่ถูกคลอเคลียด้วยกลุ่มผมสีน้ำตาลลอนสวย บริเวณคอมีสร้อยเส้นบางที่ถูกร้อยไว้ด้วยแหวนทองคำขาววงสวยประดับเด่นอยู่ ด้านบนศีรษะประดับด้วยผ้าคลุมหน้าผืนบาง ที่ตอนนี้ถูกเปิดออกเพื่อให้เหล่าผู้เข้าชมได้มีโอกาสเห็นในหน้านั้นอย่างชัดเจน ใบหน้าหวานที่แดงระเรื่อด้วยความอายบวกกับเทคนิคการแต่งหน้า ทำให้ในที่นี่ตอนนี้ ทุกคนต่างจ้องมองผู้เข้าประกวดคู่นี้เป็นสายตาเดียวกัน

โดยไม่ต้องคิดให้หนักหัวเลยว่านักเรียนปี2ห้อง3นี้แต่งออกมาในชุดของเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่นเอง และไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก แม้ในใจทุกคนจะรู้ดีว่าที่เห็นยืนหล่ออยู่บนเวทีนั่นเป็นผู้หญิง และเจ้าสาวตัวน้อยนั้นคือผู้ชายก็ตาม!

“หือ ดูดีกว่าตอนที่ลองชุดอีกนะเนี่ย” อาจารย์คุโรคาวะพูดกับตัวเองเมื่อได้เห็นลูกศิษย์ทั้งสองบนเวที แต่ก็ไม่วายมีเสียงตอบกลับมา

“แน่นอนอยู่แล้วค่ะอาจารย์ ลองชุดนั่นจริงๆก็แค่ลองไซส์ให้แน่ใจเฉยๆ พวกหนูแต่งชุดกันใหม่เกือบหมดอาจารย์ไม่สังเกตเหรอ แถมวันนี้สองคนนั้นยังแต่งหน้าทำผมด้วยไม่ออกมาดูดีได้ยังไง แบบนี้ห้องเรามีหวังคะแนนนำโด่งแน่เลย” อาจารย์คุโรคาวะยิ้มน้อยๆให้กับความมั่นใจของลูกศิษย์ตน ก่อนจะมองไปยังตัวแทนของห้องทั้งสอง จริงอยู่ว่าแต่งออกมาได้ดีมาก แต่...

“ยังไม่แน่หรอกว่าจะชนะ ต้องรอดูจนถึงที่สุดเท่านั้น...”

ซึ่งก็เป็นอย่างที่อาจารย์คาดเอาไว้ แน่นอนว่ามีคนนำลูกโป่งไปมอบให้คู่นี้ แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะเหมือนกันที่เหล่านักเรียนปี2ห้อง3คาดกันเอาไว้ ยังมีผู้ชมอีกหลายคนที่รอดูผู้เข้าประกวดให้ครบก่อนค่อยตัดสินใจอีกค่อนข้างมาก

การปรากฏตัวของเหล่าผู้เข้าประกวดผ่านไปเรื่อยๆ นักเรียนปี2ห้อง3 เริ่มที่จะยิ้มแก้มปริขึ้นทุกที เพราะในตอนนี้ยังไม่มี คูไหนดูดีเท่าคูอาซาโนะกับมาสะอีกแล้ว

และในที่สุดก็มาถึงคู่สุดท้าย คู่ของรุ่นพี่ปี3ห้อง4 ทั้งคู่ค่อยๆเดินออกมาจากเงามืดอย่างช้าๆ และทันทีที่แสงไปส่องกระทบร่างทั้งสอง นักเรียนปี2ห้อง3ทุกคนถึงกับหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าคู่นี้ดูน่าเกียจจนทนไม่ได้ แต่เป็นเพราะคู่นี้เองก็เป็นอีกคู่ที่แต่งออกมาได้เหมาะกันมาก แถมทั้งคู่ก็มาในชุดแต่งงานเหมือนกัน!

แต่ต่างกันก็ตรงที่รุ่นพี่เขาแต่งตัวแบบญี่ปุ่น ซึ่งก็ดูเป็นวิธีการเลือกที่ชาญฉลาด เพราะฝ่ายหญิงที่แต่งเป็นเจ้าบ่าวนั้น หลายคนจำได้ว่าเธอไม่ใช่คนเตี้ยแต่ก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น เดาได้เลยว่าภายใต้ชุดที่ปิดมาถึงพื้นนั้นคงเป็นรองเท้าที่สูงเอาเรื่องอยู่ และคงมีการเสริมไหล่กับอีกหลายๆส่วน ทำให้เธอดูเหมือนซามุไรหน้าหวาน ที่กำลังจะได้เข้าพิธีแต่งงานกับหญิงสาวที่สวยมาก

แน่นอนว่าคนที่ประกวดเป็นเจ้าหญิงของรุ่นพี่ปี3ห้องนี้นั้น เรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา เขาชื่อ อิมาอิ เรียว นักเรียนทุนดีเด่นของโรงเรียน ที่มีดีทั้งหน้าตา กีฬาและการเรียน แต่แน่ล่ะจะมีซักกี่คนที่คิดได้ว่า ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแบบนั้นจะสามารถแต่งออกมาได้สวยขนาดนี้ แถมชุดกิโมโนสีขาวนั่นคงมีการเอาผ้าด้านในออกเพื่อไม่ให้แต่งออกมาดูบึกบึนเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยพลางรูปร่างอีกด้วย ทำให้คู่นี้กลายเป็นอีกคู่ที่น่าจับตามอง...

บรรดาลูกโป่งมากมายหลากหลายสีสันถูกยื่นให้กับคู่ของอิมาอิอย่างล้นหลาม แต่ก็มีหลายคนที่หลังจากให้คู่อิมาอิแล้วจึงเดินเอามาให้แก่มาสะเช่นกันเหมือนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรให้ใครดี ทั้งสองคู่กลายเป็นคู่ที่ได้ลูกโป่งเยอะที่สุด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าคู่ไหนคือคู่ที่ได้ลูกโป่งเยอะกว่ากัน

“อีก5นาทีเราจะปิดการให้ลูกโป่งผู้เข้าประกวดนะครับ แต่ไม่ต้องห่วง เราจะมีรอบสองให้ทุกท่านโหวตอีกครั้งแน่นอน หลังจากการให้คะแนนของกรรมการ”

หลังจากผู้เข้าประกวดทุกคนยอกเว้นผู้เข้าประกวดคู่แรกลงจากเวทีแล้ว การซักถามของกรรมการก็เริ่มขึ้นในทันทีเพื่อย่นระยะเวลาที่เสียไป เริ่มจากการแนะนำตนเองของผู้เข้าประกวด แล้วตามด้วยคำถามว่าการแต่งตัวของพวกคุณมีความเป็น prince และ princess อย่างไร

หลังจากผู้เข้าประกวดตอบคำถามแล้ว เหล่ากรรมการก็จะนำสิ่งที่ผู้เข้าประกวดตอบ หรืออะไรก็ตามรอบๆตัวผู้เข้าประกวดมาตั้งคำถามต่อ ซึ่งหลายคำถามก็ไล่ต้อนเหล่าผู้เข้าประกวดจนพูดจาตะกุกตะกักกันเป็นแถว ผู้เข้าประกวดทยอยตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงคิวของตัวแทนปี2ห้อง3

อาซาโนะเดินนำโดยมีมาสะคล้องแขนตามออกมา เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงตรงกลางเวทีซึ่งมีไมโครโฟนตั้งอยู่2ตัว กรรมการก็เริ่มถามคำถามทันที

“เจ้าบ่าวเจ้าสาวนี่เกี่ยวอะไรกับPrince & Princessล่ะ”

“งานแต่งงานถือเป็นงานที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ดังนั้นทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในงานจึงเปรียบได้กับเจ้าชายและเจ้าหญิงในงาน....” อาซาโนะตอบอย่างได้ฉะฉานเพราะเธอเองก็เคยถามคำถามทำนองนี้กับเสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันที่อาซาโนะจะตอบคำถามได้สมบูรณ์ กรรมการอีกคนก็ถามสวนขึ้นมา

“แล้วทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง” อาซาโนะที่มีสติดีรีบตอบคำถามของกรรมการทันที

“รู้จักกันตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ใกล้ๆกันก็เลยเจอกันบ่อยๆ...” แต่ก่อนที่จะทันโล่งใจกรรมการก็ถามขึ้นมาอีกซึ่งเป็นคำถามที่เรียกเสียงเฮฮาจากผู้ชมได้พอสมควร

“แล้วใครเป็นคนสารภาพรักก่อนล่ะ” ถึงผู้ชมจะรู้ว่าคำตอบส่วนใหญ่นั้นล้วนป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่เหล่าผู้ชมก็สนุกสนานไปกับการเอาตัวรอดและไหวพริบอันไหลลื่นของบรรผู้เข้าประกวด

“เจ้าสาวออกจะขี้อายขนาดนี้ก็ต้องเป็นผมอยู่แล้ว” แทนตัวเองด้วยผมอย่างที่เตี๊ยมกันมาก่อนโอบไหล่มาสะให้แนบเข้าหาตัวเองมากขึ้น ทำให้ได้รับเสียงโห่เสียงผิวปากจากเหล่าผู้ชมทั้งหลาย

“คราวนี้ให้เจ้าสาวตอบนะ แต่งงานกันแล้วทำไมเอาแหวนมาสวมคอล่ะ แทนที่จะใส่ไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย” คำถามนี้ทำเอาทีมงานปี2ห้อง3ทำหน้าเครียดกันเป็นแถว เพราะเดิมทีสร้อยที่จะให้มาสะใส่ไม่ใช่เส้นนี้ แต่เจ้าตัวยืนกรานจะไม่ยอมถอด เพื่อนจึงได้แต่ปล่อยไปเพราะมันก็เข้ากับชุดดี แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ากรรมการจะถามอย่างนี้ อาซาโนะเหลือบมองดูคู่ของตนเองอย่างหวั่นๆ หมอนี่จะตอบได้มั้ยเนี่ย

มาสะก้มมองดูแหวนที่คอตนเองเล็กน้อย ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นมาสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาก่อนจะเปล่งคำพูดออกมา

“เป็นแหวนที่เขาให้หนูตอนที่สารภาพรักครั้งแรก...เขาให้หนูไว้แล้วบอกให้เก็บคำสารภาพของเขาไปคิด ถ้าตกลงก็ให้สวมแหวนวงนี้ให้เขาเห็น มันเป็นแหวนวงสำคัญ...แหวนแห่งความทรงจำ หนูอย่างให้ความทรงจำดีๆแบบนี้อยู่กับหนูด้วยในวันแต่งงาน เลยเอาแหวนวงนี้มาสวมแทนสร้อยค่ะ” ใบหน้าหวานแดงระเรื่อที่ปลดปล่อยคำพูดเหล่านั้นออกมาพร้อมกับร้อยยิ้มหวานสุขใจ ราวกับเรื่องที่พูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองจริงๆ


อาซาโนะอมยิ้มน้อยๆที่มุมปากเหมือนเดินตั้งแต่ต้น เธอมองดูชายข้างๆเธอตลอดเวลาที่เขาพูด คำพูดทุกคำพูดเหมือนกลั่นออกมาจากใจ แม้ตอนท้ายอิซึกิจะหันมายิ้มให้เธอ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่า รอยยิ้มของคนข้างๆตัวนั้นไม่ได้ส่งมาให้เธอแม้แต่น้อย แต่เหมือนกับส่งไปให้ใครคนอื่น คนที่เป็นเจ้าของแหวนตัวจริง...



ตอนต่อไป : ตอนที่11

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น