วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รักนาย เจ้าชายปีศาจของฉัน(Yaoi) ตอนที่13 ปัญหาหัวใจ

ตอนที่13 ปัญหาหัวใจ

เวลา3วันผ่านไปไวเหมือนโกหก มาสะใช้เวลาทุกวินาทีครุ่นคิดว่าควรตอบรับข้อเสนอของไซน์ดีมั้ย ถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่มาคิดวิตกเหมือนเขา มันเลือกไม่ยากเลยไม่ใช่เหรอ รับข้อตกลงไปก็มีแต่ได้กับได้ ได้มีชิวิตอยู่ต่อไป แถมเป็นชีวิตที่ยืนยาวเสียจนช่วงชีวิตคนๆหนึ่งไม่อาจจินตนาการได้ โดยมีไซน์อยู่เคียงข้าง รักเขาหมดใจ?

นั่นแหละสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด สิ่งเดียวที่เขาไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ เขารักไซน์แล้วเหรอ? ช่วงเวลาเพียงแค่เดือนกว่าสามารถทำให้ความรักก่อตัวขึ้นได้หรือ หากความรู้สึกที่เขามีให้ไซน์ไม่ใช่ความรักล่ะ ช่วงชีวิตหลังจากนี้ไม่กลายเป็นห้วงแห่งความทุกข์หรอกเหรอ หรือถ้าเกิดเขาตอบรับไปแล้ว เวลาผ่านไปอะไรจะเป็นหลักประกันว่าไซน์จะไม่เบื่อเขา ไม่ทิ้งขว้างเขาล่ะ สิ่งที่เขากลัวที่สุดคงไม่พ้นการถูกทอดทิ้ง หากต้องถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายในช่วงเวลาอันยาวนานจนยากจะจินตนาการได้แบบนั้น เขาจะทนได้เหรอ แน่นอนว่าไม่ได้ ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่างเดียว....

“เขาว่ากันว่า คนเราสามารถรู้สึกถูกชะตากับใครได้เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่สบตากัน สามารถรู้สึกชอบได้ เพียววันเดียวที่ได้คุยกัน สามารถรักคนคนนั้นได้เพียงไม่ถึงอาทิตย์ที่เราอยู่ด้วยกัน แต่กลับต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตที่จะลืมคนที่เรารักสักคน....” เสียงหวานใส กล่าวถ้อยคำฝันหวาน ดังลอยมาจากกลุ่มนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งในห้อง ซึ่งพวกผู้ชายมักเอามาพูดลับหลังว่าเป็นพวกเพ้อฝันไปกับนิยายรักน้ำเน่า

มาสะนั่งฟังคำพูดของเด็กผู้หญิงเหล่านั้นพลางครุ่นคิด ความรักคืออะไร ถ้าเขาเข้าไปถามเด็กผู้หญิงเหล่านั้นคงจะได้คำตอบกลับมามากมาย แต่ในทางกลับกันคงถูกมองและถูกซักไซ้อย่างแน่นอน ซึ่งไม่เป็นการดีเลยสักนิด

“เอาล่ะเด็กๆจะเริ่มโฮมรูมกันกันแล้ว เงียบๆกันได้แล้ว” เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกแตกรังเมื่อครู่เงียบลงทันทีที่อาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามา

อาจารย์คุโรคาวะ...ไซน์บอกว่าอาจารย์เขาเป็นลูกครึ่งยมทูต ยมทูตเป็นปีศาจระดับค่อนข้างสูงพวกหนึ่ง มีพลังเกี่ยวกับวิญญาณและความตาย ยมทูตสามารถบอกได้ว่ามนุษย์คนไหนเหลือเวลาเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้มารับวิญญาณได้ทันทีที่คนคนนั้นตาย

อาจารย์บอกว่าเวลาของเขาเหลืออีกถึงแค่วันมะรืนเท่านั้น ซึ่งมันช่างเร็วจนน่าใจหาย ถ้าเขาตายไปจะเป็นยังไงนะ คุณลุงกับคุณป้าต้องเสียใจแน่เลย แล้วยังมีใครอีกล่ะที่เป็นห่วงเขา เพื่อนๆในห้องเหรอ ก็คงมีแต่ไอโด้เท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา แล้วจะมีใครอีกล่ะ ใครที่จะเสียใจถ้าเขาตายไป....

...ไซน์...

ชื่อนี้ผุดขึ้นมาเมื่อประกายแสงจากแหวนที่ห้อยคอเขาอยู่สะท้อนเข้าตา ไซน์จะเศร้าแค่ไหนนะถ้าเขาปฏิเสธไป อาจเศร้าอยู่นาน หรืออาจเพียงชั่วครู่ เขาไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย เพราะถึงไซน์จะแสดงออกว่ารักเขามากขนาดนั้น แต่อาจเป็นเพราะไซน์แสดงมันออกมามากเกินไป จนบางครั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ไซน์กระทำนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริงหรือเปล่า...

ขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยนั้นเอง สายตาของเขาก็เผลอไปสบเข้ากับอาจารย์คุโรคาวะเข้า อาจารย์ส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขา ราวกับจำให้กำลังใจ และต้องการให้เขาคิดให้ดีก่อนจะเลือก นั้นสินะเพราะการเลือกครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดการ มาสะตัดสินใจแล้วว่าเที่ยงนี้เขาจะไปปรึกษาอาจารย์คุโรคาวะ เพราะอาจารย์เป็นคนที่รู้เรื่องเวลาของเขาดีกว่าใคร


บริเวณบันไดทางขึ้นตึกฝั่งหนึ่งของอาคาร มาสะเรียกอาจารย์คุโรคาวะมาเพื่อขอคำปรึกษา เวลาเยงแบบนี้บริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่เรียกได้ว่าร้างผู้คนก็คงไม่ผิด ตั้งแต่มาถึง มาสะก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าเขาจะเริ่มถามัยงไงดี นานจนอาจารย์คุโรคาวะตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นมา

“มีอะไรจะปรึกษาครูเหรอ” มาสะครุ่นคิดอีกสักพักก่อนจะตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นมา

“อาจารย์ทราบเรื่องที่เวลาของผมเหลือไม่มากแล้วสินะครับ” มาสะเริ่มด้วยการถามหยั่งเชิงก่อน แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาจารย์คุโรคาวะรู้เรื่องเกือบทั้งหมดแล้ว

“ใช่แล้ว เวลามันเหลือน้อยเหลือเกิน เธอควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะรับข้อเสนอขององค์ชายหรือไม่” มาสะแทบจะลืมไปแล้วว่าไซน์มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายของดินแดนปิศาจ แบบนี้แล้วเขายิ่งกลัวที่จะรับคำขอของไซน์มากขึ้นไปอีก เขาจะไปเอาฐานะที่ไหนให้ดีเทียบเคียงกับองค์ชายได้ล่ะเนี่ย!

อาจารย์คุโรคาวะเห็นท่าทีลังเลของมาสะ ทั้งยังความกลัวที่ฉายชัดเต็มดวงตาของลูกศิษย์ตัวน้อย ก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ คงเป็นความไร้เดียงสานี้ล่ะมั้งที่เอาชนะใจองค์ชายคนนั้นมาได้

“อิซึกิ เธอกลัวอะไรเหรอ การรับข้อเสนอขององค์ชายมันน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ” อาจารย์คุโรคาวะตัดสินใจถามออกไป เขาพยายามเลือกคำถามที่เขาคิดว่าจะสามารถดึงเอาความรู้สึกของลูกศิษย์ออกมาให้ตัวของมาสะสามารถวิเคราะห์เองได้ถึงที่สุด

“กลัวเหรอ นั่นสินะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองกลัวไปเสียทุกอย่างเลย ผมจะเอาอะไรไปทำให้ตัวเองเหมาะสมกับฐานะองค์ชายของไซน์ล่ะ ผมจะทนได้เหรอ ถ้าเวลาผ่านไปแล้วไซน์เกิดเบื่อผมขึ้นมา เกิดเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมไม่ใช่คนที่เขาต้องการจริงๆ แล้วไหนผมยังเป็นผู้ชายอีก มีลูกให้เขาก็ไม่ได้ แล้วที่สำคัญที่สุด ผมยังไม่แน่ใจตัวเองเลยว่าผมรักเขาจริงหรือเปล่า ความรู้สึกที่ผมมีให้ไซน์มันใช่ความรักจริงเหรอ ผมอาจจะรู้สึกดีกับเขาเพียงเพราะผมรู้สึกเหงาก็ได้ ผมอาจจะ.....”

แต่ก่อนที่มาสะจะได้พูดเพ้อไปมากกว่านี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือแกร่งที่ที่วางมาบนไหล่ แล้วบีบเบาๆอย่างต้องการเรียกสติ

“เอาล่ะตั้งสติก่อน อย่าเพิ่งคิดมากเรามาดูกันทีละเรื่อง ตกลงมั้ย” อาจารย์คุโรคาวะกล่าวกับมาสะ ซึ่งมาสะก็พยักหน้ารับเงียบๆ

“สิ่งแรกที่ต้องจัดการก่อนคงเป็นความรู้สึกที่เธอมีให้แก่องค์ชาย ว่าใช่ความรัก หรือเปล่าสินะ” มาสะพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน เขาพยายามเปิดประสาตหูเพื่อรับฟังสิ่งที่จะหลุดออกมาจากปากอาจารย์ประจำชั้นของเขา

“ครูเองก็ไม่เคยมีความรัก แต่ก็คงพอช่วยเธอได้บ้าง เรามาดูกันทีละประเด็นแล้วกันนะ อืม อย่างแรกเอาเป็น เธอคิดถึงเขาแทบจะตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัว” มาสะครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนตัดสินใจพยักหน้ารับ

“ไม่ว่าเธอจะทำอะไรเขาก็มักเข้ามาปรากฏในความคิดของเธอเสมอ” มาสะพยักหน้ารับ

“เธอมีความสุขกว่าปกติ เวลาได้อยู่กับเขา แค่มีเขาอยู่ด้วยเธอก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว” มาสะพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้าพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้น

“เธอไม่รังเกียจที่เขาแตะต้อง สัมผัสเธอ...” อาจารย์คุโรคาวะสังเกตเห็นใบหน้าของลูกศิษย์ที่แดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว ขณะพยักหน้าตอบเขา

“หรือพูดให้ถูกคือเธอยอมรับสัมผัสจากเขาอย่างเต็มใจ” มาสะที่หน้าแดงลามไปถึงหูและคอแล้วพยักหน้ารับอีกคราว

“แล้วถ้าอยู่ๆองค์ชายหายตัวไปและไม่สามารถตามหาตัวได้เธอจะรู้สึกยังไง” พอเจอคำถามนี้เข้าไปสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็พุ่งเข้ามา ถ้าเขาถูกทิ้ง...

“ผมคงทำอะไรไม่ได้ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด ผมอยากอยู่ข้างเขาตลอด ถ้าจะต้องอยู่คนเดียวล่ะก็ผมคงทนไม่ได้” มาสะกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรเธอก็รู้ใจของเธอดีแล้วนี่” อาจารย์คุโรคาวะกล่าวพลางลูบหัวของมาสะอย่างปลอบประโลม

“แต่ถ้าเกิดไซน์ไม่ได้รักผมล่ะครับ ไหนจะเรื่องของฐานะ แล้วผมก็เป็นผู้ชายด้วย” อาจารย์คุโรคาวะถอนหายใจเบาๆกับความคิดมากของลูกศิษย์

“เรื่องฐานะไม่ต้องกังวลหรอก เพราะพวกปีศาจไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้หรอก ถ้าองค์ชายจะรักเธอซะอย่าง ต่อให้คนเป็นพ่อแม่ก็ค้านไม่ได้หรอก” อาจารย์คุโรคาวะหยุดครู่หนึ่งเพื่อรอดูปฏิกิริยาเมื่อเห็นว่ามาสะตั้งใจฟังดีจึงเริ่มพูดต่อ

“แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องถูกทิ้งหรอก รู้มั้ยทำไมถึงมีตำนานว่าปีศาจเป็นพวกเลือดเย็น” มาสะส่ายหน้าน้อยๆกับคำถามนี้

“เพราะปิศาจมีความรักให้กับคนคนเดียวเท่านั้น คือถ้าปิศาจรักใครสักคนแล้วจะรักคนคนนั้นเพียงคนเดียว ความอ่อนโยนทั้งหมดจะมีให้คนคนเดียว และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่รักมีความสุข คนอื่นนอกเหนือจากคนที่ตนเองรักแล้ว จะเป็นจะตายอย่างไรพวกปิศาจไม่สนใจหรอก พวกเขาฆ่าได้ทุกคน ถึงแม้คนที่ต้องฆ่าจะมีสายเลือดเดียวกัน หรือเป็นคนให้กำเนิดก็ตาม ถ้ามันทำให้คนที่รักมีความสุข ปิศาจทุกตนสามารถเลือดเย็นได้อย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าองค์ชายจะไม่ได้รัก หรือทิ้งเธอไปตอนหลังหรอก”

คำพูดของอาจารย์คุโรคาวะทำให้มาสะใจชื้นขึ้นอีกนิด แต่ก็แอบหวาดเสียวกับความเลือดเย็นที่อาจารย์เล่าให้ฟังไม่ได้

“แต่อาจารย์ไม่ได้รักผมนี่ แล้วทำไมอาจารย์ใจดีกับผมล่ะ” คำถามที่ออกมาจากปากลูกศิษย์ทำให้อาจารย์คุโรคาวะชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ เข้าใจถามนี่ ครูเป็นแค่ลูกครึ่ง ต้องยอมรับว่าครูได้เรื่องอารมณ์ของมนุษย์มาค่อนข้างเยอะ แต่ที่ครูทำนี่ก็เพราะหวังดีกับลูกศิษย์หรอก ไม่ได้พิศวาสอะไรเธอเลยสักนิด อีกอย่างถ้าเธอกลับมาเรียนได้เหมือนเมื่อก่อนใครบางคนคงจะดีใจ” ประโยคหลังนั้นอาจารย์คุโรคาวะเหมือนจะพึมพำเบาๆกับตัวเองมากกว่า แต่แน่นอนว่ามาสะย่อมได้ยิน

“อาจารย์มีคนที่ชอบแล้วเหรอครับ” คำถามตรงไปตรงมาทำให้อาจารย์คุโรคาวะยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบว่า

“แค่สนใจน่ะ ยังไม่ถึงขั้นรักชอบหรอก แล้วก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงด้วย เอาล่ะนอกเรื่องไปเยอะเลยนะ แล้วเธอยังมีเรื่องอะไรกังวลอีกมั้ย ที่ครูดูเธอก็มีใจให้องค์ชายมากพอดูเลยนี่”

“เอ่อ ผมเป็นผู้ชายเหมือนกับไซน์...”

“เรื่องนั้นไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงเลย รู้เรื่องขององค์ราชากับองค์ราชินีของแดนปีศาจรึเปล่า” เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของเขาคงไม่รู้เรื่องอะไร เขาจึงเริ่มเล่าต่อ

“ทั้งสองพระองค์น่ะเป็นพ่อแม่ขององค์ชาย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับหรอก ใครๆเขาก็รู้กันว่าจริงๆแล้วองค์ราชินีน่ะเป็น เพศชาย” พอถึงตรงนี้เขาก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นดวงตาที่เบิกโพลงของลูกศิษย์

“ละ..แล้ว...ไซน์เกิดได้ยังไง...ในเมื่อ...องค์ราชินี” มาสะออกอาการตะกุกตะกัก อย่างสับสน

“องค์ราชินีเป็นคนคลอดไซน์ออกมาจริงๆ มนตราที่ประทับตอนแต่งงานของเหล่าปิศาจ มีอำนาจบางอย่างที่ทำให้คนเป็นภรรยาสามารถมีเด็กได้แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายก็ตาม ดูได้จากราชินีเป็นตัวอย่าง แต่ขนาดว่าปีศาจมีชื่อเรื่องการมีลูกยากนะ องค์ราชินีนี่เก่ง คลอดออกมาได้ไงตั้ง6-7คน เธอรู้รึเปล่ากว่าพ่อแม่ครูจะมีครูได้ พวกท่านแต่งงานกันมาเกือบจะ200ปีอยู่แล้ว เพิ่งมีครูแค่คนเดียวเอง...”

“หมายความว่าผมก็สามารถมีลูกได้อย่างนั้นเหรอ..” มาสะถามกลับอย่างอึ้งๆกับข้อมูลที่ได้รับ

“ถูกต้อง แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะท้องตอนที่กำลังเรียนหรอกนะ เพราะสถิติที่เคยถูกบันทึกไว้ การมีลูกของปีศาจที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 27ปี กว่าเธอจะมีทายาทให้องค์ชายได้ก็คงเรียนจบไปแล้ว ดังนั้นถ้าองค์ชายเขาอยากจะจู๋จี๋กับเธอตอนกลางคืนก็ยอมๆเขาไปเถอะ” อาจารย์คุโรคาวะหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นว่าคำหยอกของตนเองทำให้ลูกศิษย์อายจนซุกหน้าหนีไปแล้ว

“ถ้าเธอมั่นใจในหัวใจของตัวเอง ครูว่าเธอก็ควรจะตอบรับองค์ชายเขาไปนะ เพราะถ้าเธอปฏิเสธ คนที่น่าสงสารที่สุดคงไม่พ้นเป็นองค์ชาย....” มาสะเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์คุโรคาวะทันที่ที่ได้ยินแบบนั้น

“เพราะเขาจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว และจะต้องอยู่โดดเดี่ยวไปตลอดกาล” ถ้อยคำที่ได้ยินทำให้มาสะถึงกับพูดไม่ ออกเขาเคยเห็นและเคยเป็นคนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป เขาเข้าใจที่อาจารย์พูดได้ในทันทีว่า การมีชีวิตอยู่หลังจากนั้นมันช่างยากลำบากมากแค่ไหน แต่ตั้งแต่ที่เขาได้เจอไซน์ แม้เป็นช่วงเวลาไม่นานแต่มันก็ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ถ้าไซน์จะต้องเป็นอย่างที่เขาเคยเป็นล่ะก็....

“เมื่อเธอตัดสินใจได้แล้วก็ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะหมดเวลาพักเที่ยงซะก่อน” มาสะโค้งขอบคุณอาจารย์คุโรคาวะเล็กน้อย ก่อนมุ่งตรงไปหาคนที่เขาอยากเจอมากที่สุด


ห้องพยาบาล

ไซน์นั่งรอมาสะมาพักใหญ่แล้ว เขาเหลือบดูนาฬิกาที่อยู่บนผนังรอบแล้วรอบเล่า เวลาพักเที่ยงใกล้จะหมดแล้ว แต่มาสะยังไม่มาเลย ไซน์กังวลพร้อมกับเหลือบไปทางข้าวกล่องที่เขากับมาสะช่วยกันทำเมื่อเช้า

“ขอโทษที่มาช้านะครับ พอดีคุยกับเพื่อนอยู่” มาสะเปิดประตูเข้ามาด้วยอาการหอบเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรหรอกมานั่งพักก่อน ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยใช่มั้ย” ไซน์ยิ้มน้อยๆก่อนจัดการหยิบข้าวกล่องออกมา ทั้งคู่กินกันเงียบๆไม่มีใครพูดอะไรกัน แต่ทั้งคู่ก็เหลือบมองกันตลอด เมื่อกินเสร็จแล้วไซน์จัดการเขยิบเก้าอี้ของตัวเองให้นั่งด้านตรงข้ามกับมาสะ ซึ่งมาสะเองก็เขยิบเก้าอีตัวที่นั่งอยู่ให้เข้าใกล้ไซน์มากขึ้น ซึ่งไซน์เองก็แปลกใจเล็กน้อยที่มาสะเขยิบเข้ามาใกล้เขามากกว่าทุกที

ตั้งแต่ที่มาสะรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ทุกเที่ยงหลังทานข้าวเขาจะต้องมารับเลือดจากไซน์ทุกครั้ง ไซน์จัดการกรีดนิ้วชี้และนิ้วกลางสองนิ้ว ก่อนจะยื่นนิ้วที่ตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมาไปทางมาสะ

มาสะใช้สองมือประคองมือข้างนั้นของไซน์ ก่อนค่อยๆอมนิ้วทั้งสองเข้าไป พร้อมกับดูดเลียของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาอย่างช้าๆ

ไซน์กลืนน้ำลายลงคอตัวเองอย่างยากลำบาก เมื่อมาสะที่ทุกทีจะก้มหน้าก้มตาดูดไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา วันนี้กลับจ้องเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม? ไซน์ใช้เมื่ออีกข้างที่ว่างอยู่อังไปที่หน้าผากของมาสะอย่างเป็นห่วง ไข้ก็ไม่มีนี่นา

“บนหน้าฉันมีอะไรติดเหรอ” ไซน์ถามออกไปเมื่อมาสะยังไม่เลิกจ้องหน้าเขา แถมยังทำสีหน้างงๆตอบคำถามเขามาอีก ที่แสดงว่าบนหน้าเขาไม่มีอะไรติด

มาสะเลียเลือดหยดสุดท้ายที่ติดอยู่บนนิ้วของไซน์ซึ่งตอนนี้แผลที่โดนกรีดไว้สมานตัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนพูดว่า

“บนหน้าไซน์ไม่เห็นมีอะไรติดเลยนี่ครับ” ไม่พูดเปล่ายังมองสำรวจทั่วบริเวณใบหน้าของไซน์อีกด้วย

“ก็มาสะจ้องฉันไม่วางตาเลยนี่เมื่อกี้นี้” ไซน์กล่าวขณะก้มลงสูดความหอมจากแก้มนวล แล้วจึงดึงมาสะให้ลุกขึ้น

“เอาล่ะหมดเวลาพักเที่ยงแล้วรีบไปเรียนเถอะ”

“ครับ” มาสะตอบรับก่อนจะเดินไปที่ประตู โดยมีไซน์เดินตามหลังมาส่ง แต่มาสะก็หยุดตัวเองลงก่อนถึงประตูเล็กน้อย ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับไซน์แล้วพูด

“ไซน์ครับ ผมตัดสินใจแล้วนะครับ” ไซน์ที่เดินตามหลังมาสะมาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของมาสะ

“คิดดีแล้วใช่มั้ย”

“ครับ” มาสะพยักหน้ารับก่อนค่อยๆถอดแหวนที่คอส่งคืนให้ไซน์ ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำนี้ สร้างความหวาดกลัวให้แก่ไซน์อย่างมาก นี่มาสะไม่เลือกเขาอย่างนั้นเหรอ!?

“แหวนนี่ที่ไซน์ให้ไว้ บอกให้ผมใส่ถ้าผมตกลงแต่งงานใช่มั้ยครับ ผมขอคืนให้ไซน์ครับ.....” พอได้ยินเท่านี้ ไซน์ก็รู้สึกหดหู่อย่างมากราวกับว่าโลกทั้งใบจะถล่ม อ่า นี่เขาถูกทิ้งสินะ แต่ก่อนที่ไซน์จะทันได้รู้สึกแย่ไปมากกว่านั้น เสียงของมาสะก็ดังเสียดเขามาในโสตประสาท

“คือ ผมตกลงรับคำขอ แต่ผมอยากให้ไซน์ เป็นคนสวมให้นะครับ” ไซน์มองมาสะอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เขาไม่ได้ถูกทิ้งใช่มั้ย

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” ไซน์ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ แต่มาสะกลับหลบตาก้มหน้าที่แดงมาจนถึงใบหู บิดไปมาตั้งนานกว่าจะยอมพูดอีกครั้ง

“สวม...แหวนให้ผม...หน่อย...ผม...ตกลง...เอ่อ...แต่งงานกับ...ไซน์ครับ” มาสะฝืนความอายพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก เมื่อกี้เขาอุตส่าห์หน้าด้านพูดไปรอบแล้ว ไซน์ดันได้ยินไม่ชัด ให้มาพูดรอบสองแบบนี้ คนเขาก็อายเป็นนะ

มาสะรู้สึกถึงมือแกร่งที่รวบมือข้างซ้ายของเขาขึ้น ก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นเล็กๆที่ถูกสวมเขามาที่นิ้วนางข้างซ้าย ทันทีที่แหวนประทับลงที่นิ้วของเขา เหมือนเขาจะเห็นประกายบางอย่างส่องแสงออกมาเล็กน้อย พร้อมกับอ้อมกอดของไซน์ที่กระชับแน่น



“ฉันดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี” ไซน์กระซิบที่ข้างหูของมาสะก่อยค่อยๆบรรจงประทับจุมพิตที่ริมฝีปากบางอย่างทะนุถนอมและโหยหา ซึ่งมาสะเองก็ตอบรับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ ความวาบหวามที่ได้รับมีมากกว่าครั้งใดๆเมื่อหัวใจของทั้งสองต่างรับรู้ได้ถึงความต้องการในตัวอีกฝ่าย

ตอนต่อไป >>> ตอนที่ 14

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น