ตอนที่12: อาจารย์ห้องพยาบาลคนใหม่
“มาสะ...ตื่นเถอะ นี่สายแล้วนะ....ถ้าไม่ตื่นถูกทำโทษจริงๆด้วย..”
เช้านี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน
เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยปลุกซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะถูกอีกฝ่ายกระทำจนต้องยอมลืมตาตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่อย่างงัวเงีย
ค้อนใส่นิดหน่อยพอเป็นพิธี
ก่อนจะจำใจเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับรสเค็มปร่าที่ยังตกค้างอยู่ในปาก
หลังอาบน้ำเสร็จก็จะมีกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอลอยมาจากห้องครัว
และเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัวก็จะพบอาหารเช้าหน้าตาน่ากินวางเรียงอยู่บนโต๊ะ
พร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับของคนที่ปลุกเขาตอนเช้า
ทานอาหารเช้าไปพลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเล็กๆน้อยๆ
เป็นแบบนี้ทุกๆวัน หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเจ้าตัวก็จะไปส่งเขาที่หน้าประตูบ้านเพื่อไปเรียนพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
พอตกเย็นก็กลับมาเจอกันที่บ้าน หรือบางวันซึ่งก็ค่อนข้างบ่อยที่คนตรงหน้าจะนึกครึ้มไปรับเขากลับบ้านถึงที่หน้าประตูโรงเรียน
แต่วันนี้มีบ่างอย่างเปลี่ยนไป มันไม่เป็นอย่างที่เป็นมาตลอดทั้งอาทิตย์!
“มาสะ วันนี้เราเดินไปโรงเรียนด้วยกันนะ”
ไซน์พูดขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารเช้า
“เอ๋ วันนี้นึกยังไงถึงอยากไปส่งผมล่ะครับ”
มาสะถามกลับพร้อมส่งอาหารเช้าเข้าปากไปอีกคำ
“พอดีว่าที่ทำงานไปทางเดียวกันน่ะ” มาสะผงกหัวรับรู้ เขาทราบมาพักหนึ่งแล้วว่าไซน์กำลังหางานทำ
ไซน์บอกว่ารู้สึกละอายนิดหน่อยท่าเบียดเบียนเงินของมาสะ
ไหนๆก็อยู่ด้วยกันแล้วเลยคิดจะช่วยหาเงินเข้าบ้านด้วยอีกแรงด้วยการหางานทำที่โลกมนุษย์
“จริงเหรอ ยินดีด้วยนะครับ ว่าแต่ได้งานอะไรเหรอ”
“งานแถวๆโรงเรียนน่ะ เดี๋ยวไปถึงแล้วจะชี้ให้ดู”
ไซน์อมยิ้มนิดๆก่อนจัดการเก็บจานชามลงไปในอ่าง
“ไปโรงเรียนกันเถอะ” ไซน์ออกเดินนำมาสะไป
ระหว่างทางไปโรงเรียนไม่มีใครพูดอะไรกันแม้แต่น้อย
มาสะจ้องมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจ
ความรู้สึกที่เขาไม่สามารถอธิบายได้
เขารู้ว่าเวลาของเขาคงเหลือไม่มากนัก มาสะบอกตัวเองเสมอว่า
ควรใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า
แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้เพราะเขามักจะผลอยหลับไปโดยไม่ตั้งใจทุกครั้ง
คงจะมีก็แต่ตอนที่อยู่กับไซน์ล่ะมั้งที่เขาตื่นเต็มตาไร้ซึ่งความง่วงงุน...
ความคิดมากมายทั้งหลายต้องหยุดลงเมื่อประตูรั้วโรงเรียนปรากฏสู่สายตา
“งั้นผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ”
มาสะหันไปลาไซน์ก่อนรีบมุ่งเข้าโรงเรียนไปโดยลืมเรื่องงานที่ไซน์บอกจะชี้ให้เขาดูไปเสียสนิท
และด้วยความรีบร้อนจึงไม่ได้สังเกตว่าไซน์เองก็เดินตามเขาเข้าโรงเรียนมาเช่นกัน
มาสะเลี้ยวซ้ายมุ่งสู่ห้องเรียนของตนอย่างรวดเร็ว
คงเพราะเวลาเข้าเรียนได้กระชั้นเข้ามาทุกที
ในขณะที่ไซน์กลับเดินสบายๆไปทางปีกขวาของอาคาร
และเดินตรงไปยังห้องที่เขาเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนงานโรงเรียน
ห้องที่มีป้านติดอยู่ว่า ‘ห้องหยาบาล’
“สวัสดีครับ คุณคงเป็นอาจารย์ห้องพยาบาลคนใหม่สินะ” ทันทีที่ไซน์เปิดประตู
เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“ไซน์ เอล วาลาลเช่ ยินดีที่ได้รู้จักครับ
จะมาเป็นอาจารย์ห้องพยาบาลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” ไซน์แนะนำตัวเล็กจ้อยพอเป็นพิธี
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ผม คิริยะ สอนภาษาญี่ปุ่นครับ ถ้ายังไงผมยกหน้าที่ในห้องนี้ให้คุณเลยแล้วกันนะครับ
พอดีผมมีสอนต่อ คงต้องขอตัวก่อน”
อาจารย์คิริยะกล่าวลาก่อนปล่อยทิ้งให้ไซน์อยู่ในห้องพยาบาลคนเดียว
ห้องพยาบาลที่หลังจากเกิดเหตคราวที่แล้วก็ไม่ค่อยมีคนแวะเวียนมาเท่าไหร่
มีอาจารย์ที่ว่างผลัดกันมาเฝ้า ไซน์มองไปรอบๆห้องที่บัดนี้กลับมาขาวสะอาดอีกครั้ง
หลังจากที่ถูกทำให้สกปรกเมื่อครั้งที่แล้ว
หลังจากสำรวจห้องพยาบาลจนทั่วและมั่นใจว่าสิ่งของอยู่ในที่ๆเขาสามารถเข้าถึงได้แล้ว
ไซน์ก็นั่งเอกขเนกบนเก้าประจำตัวอย่างสบายอารมณ์
“ตอนนี้ก็ว่างจนกว่าจะมีคนบาดเจ็บมาให้รักษาสินะ อาจารย์ห้องพยาบาลนี่ก็สบายดีเหมือนกันนะ...”
ไซน์พึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนเงียบเสียงลงเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากมุมมืดด้านใต้โต๊ะ
“..ท่านไซน์ องค์ราชินีมีข้อความถึงท่านว่า ‘ถึงท่านจะหนีงานเลี้ยงคราวที่แล้วได้แต่ก็ไม่สามารถหนีหน้าที่นี้ได้หรอกนะ’ ขอรับ” เสียงแหบแห้งเงียบไปก่อนเงาดำมืดค่อยๆดูเจือจางลง
“นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องคุยกับมาสะ
แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องคุยเรื่องเวลาที่มันกระชั้นนี่ก่อนสินะ”
ไซน์ครุ่นคริดก่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆบดบัง
ทั้งๆที่น่าจะเป็นวันที่ดี แต่เขากลับมีเรื่องให้คิดถึงสองเรื่อง
ไหนจะเรื่องของมาสะ ไหนจะเรื่องหน้าที่ที่ท่านแม่สั่งมาอีก...
แต่ความคิดทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากทางประตู
‘สงสัยจะมีใครเป็นอะไร’ไซน์คิดก่อนละสายตาจากวิวตรงหน้าต่างมาที่ประตูแทน
แต่แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขา กลับทำให้เขาใจหายวาบ มือไม้เย็นเฉียบลงทันใด
นี่มันเร็วกว่าที่เขาคาดไว้!
“อาจารย์ครับช่วยอิซึกิหน่อยหมอนี่หลับไม่รู้สึกตัวเลย ปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น!!!”
ย้อนกลับไป30นาทีก่อน
“ไอโด้”
“มาครับ”
“มาจิดะ”
“มาค่ะ”
เสียงเช็คชื่อยามเช้าประจำห้องปี2ห้อง3
ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอออกจากปากของอาจารย์คุโรคาวะที่ก้มอ่านรายชื่อของนักเรียนเหมือนยามเช้าของทุกวัน
“อิซึกิ”
“.....”
“อิซึกิ มาซาฮิโกะ”
“.....”
เมื่อไม่มีเสียงขานรับ
อาจารย์คุโรคาวะจึงจำใจต้องละสายตาจากรายชื่อนักเรียนก่อนทอดสายตาไปยังที่นั่งของมาสะ
และสิ่งที่เห็นก็คือ เจ้าของชื่อนั้นกำลังฟุบหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโต๊ะ
อย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“เฮ้อ หลับอีกแล้วเหรอ” อาจารย์คุโรคาวะได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเช็คให้มาสะ
มา
แล้วจึงเริ่มเรียกชื่อนักเรียนคนอื่นต่อไปโดยที่แอบเหลือบมองนักเรียนที่กล้าหลับตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรียนคาบแรก
เป็นระยะๆ
“เอาล่ะ จะหมดโฮมรูมแล้ว คาบแรกเป็นวิชาพละสินะ
เดี๋ยวครูจะให้เวลาที่เหลือพวกเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า ใครก็ได้ปลุกอิซึกิที
เดี๋ยวจะไม่ได้ไปเรียน” สิ้นเสียงของอาจารย์คุโรคาวะ
ไอโด้ที่นั่งอยู่ใกล้มาสะที่สุดจึงลุกจากที่นั่งไปปลุกมาสะ
ตอนนี้คนเกือบทั้งห้องรู้ว่าแค่เรียกเฉยๆ คนๆนี้ไม่มีทางตื่นแน่นอน
เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษไม่พอใจที่มาสะหลับในคาบของเขา
จนลุกไปตะคอกใส่มาสะเสียงดังตรงหน้าโต๊ะเลย
แต่มาสะก็ยังหลับต่อไปโดยไม่มีทีท่าเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย จนอาจารย์คนนั้นยอมแพ้แล้วปล่อยไป
“อิซึกิ อิซึกิ ตื่นได้แล้วจะได้ไปเรียนพละกัน”
ไอโด้เขย่ามาสะพร้อมกับร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปกติถ้าเขย่าแรงๆสัก3-4ทีคนตรงหน้าเข้าก็จะตื่นขึ้นมา แต่ครั้งนี้ทำไม...
“เฮ้ย อิซึกิ ตื่นสิ!”
ไอโด้ตะโกนเสียงดังพร้อมกับเพิ่มแรงเขย่า แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่น
เขาได้ยินมาว่าช่วงนี้หมอนี่ไม่ค่อยสบาย เลยนอนแทบตลอดเวลา
ยิ่งห้องพยาบาลยังไม่มีอาจารย์คนใหม่มาประจำ เลยไม่มีใครบังคับให้อิซึกิไปนอนนั่น
และก็ปล่อยให้หมอนี่นอนในห้องเรียนไป แต่นี่มันแปลกแล้วนะ เขารู้สึกใจไม่ดีเลย
นี่เขาเขย่าจนคนตรงหน้าจะล่วงจากเก้าอี้แล้วนะ
แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยแม้แต่น้อย
เสียงตะโกนของโด้เรียกความสนใจจากคนทั้งห้องให้พุ่งมายังทั้งคู่
แต่ไอโด้ร้อนใจเกินกว่าจะสนสายตาพวกนั้น
เขาพยายามเขย่าร่างเพื่อนตัวเล็กของเขาแรงขึ้น แรงขึ้น
“เดี๋ยวไอโด้หยุดก่อน เดี๋ยวครูดูให้เอง”
อาจารย์คุโรคาวะกล่าวขึ้นเมื่อเห็นท่าจะไม่ดีแล้ว
แต่เสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้ไอโด้เผลอปล่อยมือจากตัวของมาสะ
จนร่างเล็กล่วงลงมากองอยู่กับพื้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้กับทุกคนในห้องเป็นอย่างมาก
เพราะขนาดว่าล่วงลงมากองกับพื้นแล้ว เจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาเลย
“ทุกคนเตรียมตัวไปเรียนต่อ เดี๋ยวครูจะดูแลอิซึกิเอง”
อาจารย์คุโรคาวะกล่าวกับนักเรียนในห้องก่อนจะจัดการช้อนตัวมาสะขึ้นมาจากพื้นห้อง
“อาจารย์จะพาอิซึกิไปไหนเหรอครับ โรงพยาบาลเหรอ” ไอโด้ถามอย่างเป็นห่วง
ที่ตกลงมาเมื่อกี้คงไม่ทำให้อิซึกิเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่หรอกนะ
“ห้องพยาบาลมีอาจารย์คนใหม่มาประจำแล้ว ให้เขาดูอาการก่อน
แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะต้องส่งโรงพยาบาลรึเปล่า”
อาจารย์คุโรคาวะตอบก่อนรีบเดินออกจากห้องไป
“ผมไปด้วยครับ” หลังจากยืนอึ้งไปพักหนึ่งไอโด้ก็รีบพุ่งตามอาจารย์ออกไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งไว้เพียงเสียงคุยเซ็งแซ่ไปทั่วห้องถึงอาการของเพื่อนร่วมห้องของพวกเขา
กลับมาปัจจุบัน
“อาจารย์ครับช่วยอิซึกิหน่อยหมอนี่หลับไม่รู้สึกตัวเลย ปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น” ทันทีที่มาถึงห้องพยาบาล ไอโด้ก็จัดการเปิดประตูให้อาจารย์คุโรคาวะที่อุ้มมาสะ
แล้วจัดแจงอธิบายอาการต่างๆให้อาจารย์คนใหม่ฟัง
พลางช่วยอาจารย์คุโรคาวะที่กำลังวางมาสะลงบนเตียงจัดแจงที่นอนให้เพื่อนของเขา
พอเสร็จแล้วนั่นแหละเขาถึงเพิ่งเห็นอาจารย์ห้องพยาบาลคนใหม่!!!
“นาย!! ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้!” ไอโด้ตกใจตะโกนเสียงดังพร้อมกับชี้หน้าไซน์
“ฉันก็เป็นอาจารย์ห้องพยาบาลคนใหม่น่ะสิ เธอออกไปได้แล้วรบกวนการรักษาของฉัน”
ไซน์เอ่อยไล่ไอโด้อย่างไม่ใส่ใจ
เพราะตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่มาสะเพียงคนเดียว
“แต่...” ยังไม่ทันที่ไอโด้จะได้ค้านเสียงของอาจารย์คุโรคาวะก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“เธอไปเรียนเถอะไอโด้ เดี๋ยวครูดูอิซึกิให้เอง”
อาจารย์คุโรคาวะกล่าวพลางดันหลังไอโด้ออกจากห้องพยาบาลไป
ซึ่งไอโด้ก็ทำได้เพียงแค่เดินกลับไปเรียนเท่านั้น
เมื่ออาจารย์คุโรคาวะแน่ใจว่าไอโด้เดินห่างออกไปไกลแล้ว เขาก็จัดการปิดประตูลงกรอนห้องพยาบาลไว้
ก่อนหันมาพูดกับไซน์
“เวลาของเด็กคนนี้เหลือน้อยเหลือเกิน คุณจะซื้อเวลาเขาได้นานเท่าไหร่กันนะ”
ไซน์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่จัดการกรีดแขนตัวเอง แล้วจ่อให้ของเหลวสีแดงไหลลงคอมาสะไปอย่างช้าๆ
โดยไม่สนใจสายตาพราวระยับที่จับจ้องอยู่
“นี่ถึงขนาดลงทุนใช้เลือดของปีศาจชั้นสูงที่มีชื่อเรื่องพลังชีวิตช่วยแบบนี้
แสดงว่าคุณเองก็รับรู้ได้ถึงเวลาที่กระชั้นเข้ามาแล้วสินะ องค์ชาย
แต่ถึงคุณจะทำแบบนั้นชีวิตของเด็กคนนี้ก็อยู่ได้อีกไม่นานอยู่ดี....”
“เงียบไปซะเจ้าลูกครึ่ง!!” เสียงอาจารย์คุโรคาวะหยุดลงเมื่อถูกไซน์ตวาดใส่ด้วยเสียงอันดังก้อง
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามาสะเหลือเวลาไม่มากแล้ว
เขาที่อยู่เคียงข้างมาสะมาตลอดเรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะไม่รู้
“ก็เพราะผมเป็นลูกครึ่งน่ะสิ ผมจึงไม่จำเป็นต้องฟังที่คุณพูด องค์ชาย”
อาจารย์คุโรคาวะกล่าวยิ้มๆ กับท่าทางขัดใจที่คนตรงหน้าจงใจแสดงออกมาให้เขาเห็น
แต่ถึงจะหงุดหงิดอย่างไร
แต่ดูเหมือนอารมณ์ห่วงที่มีต่อร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงจะมีมากกว่า
“อีกอย่างดูคุณจะมีใจให้กับนักเรียนของผมนะ นี่ถ้าตกลงแต่งงานกันไป ยังไงซะเด็กที่เกิดมาก็ไม่พ้นเป็นลูกครึ่งเหมือนผมอยู่แล้ว...”
อาจารย์คุโรคาวะเงียบเสียงลงเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา
สายตาที่บ่งบอกถึงความรำคาญ แถมยังสื่อออกมาอีกว่า ‘เมื่อไหร่จะหยุดพูดเสียที’
อาจารย์คุโรคาวะเพียงแค่ยังไหล่น้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะมองมาสะอย่างพินิจ
แล้วจึงเอ่ยพูดกับไซน์อีกครั้ง
“เวลาของเด็กคนนี้ คำนวณกับพลังชีวิตที่ได้จากการให้เลือดของคุณทุกวัน
เขาคงอยู่ได้อีกไม่เกิด 5 วันหรอก
คุณควรจะให้เขาตัดสินใจได้แล้วนะว่า จะยอมตกลงมีชีวิตอยู่กับคุณไปอีกนานแสนนาน
หรือกจะจบชีวิตลงเท่านี้ ตายจากไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของคุณ หึหึ
หรือถ้าเขาเลือกอย่างหลังจริงๆล่ะก็ คุณติดต่อผมได้นะ
ถ้าอยากได้วิญญาณของเขาเก็บไว้ข้างกาย ถึงผมจะเป็นลูกครึ่งแต่ผมก็มีพลังของยมทูตเยอะอยู่เหมือนกัน”
ทันทีที่เอ่ยจบอาจารย์คุโรคาวะก็เดินออกจากห้องพยาบาลไป
ทิ้งให้สองนในห้องอยู่กันตามลำพัง
เขาไม่รู้จะรู้สึกสงสารหรือเห็นใจอิซึกิดีที่ต้องเกิดมาพร้อมๆกับการพัวพันของปีศาจ
แถมยังมาเป็นที่ต้องตาต้องใจขององค์ชายอีก
แต่ก็ยังดีที่ปีศาจมีชื่อเรื่องรักใครรักจริง
ทีนี้ก็อยู่ที่ตัวของเด็กคนนั้นเท่านั้น ว่าจะยอมรับความรักจากองค์ชายหรือเปล่า
ถ้าปฏิเสธไปล่ะก็ คนที่น่าสงสารสุดคงไม่พ้นเป็นตัวขององค์ชายเอง
นี่แหละข้อเสียข้อเดียวของปิศาจเลือดบิสุทธิ์ เพราะความรักมีไว้เพื่อคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
ไซน์ได้แต่เก็บความรู้สึกขุ่นเขี้ยวเอาไว้ในใจ เพราะที่เจ้าลูกครึ่งยมทูตนั่นพูดมาถูกทุกอย่าง
เขาทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้คือการทำให้มาสะยอมรับเขาเท่านั้น
สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือ ถ้ามาสะไม่ยอมรับเขาล่ะ ถ้ามาสะปฏิเสธเขา
เขาจะต้องปล่อยให้คนตรงหน้าที่เป็นดั่งดวงใจตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นเหรอ
“อืม...ไซน์...ที่นี่ที่ไหนเหรอ” เสียงเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบจากร่างเล็กบนเตียงดึงความคิดของไซน์ให้กลับมา
“ห้องพยาบาลน่ะ วันนี้นอนอยู่ที่นี่นะ ไม่ต้องไปเรียนหรอก”
ไซน์กล่าวพร้อมลูบศรีษะมาสะอย่างทะนุถนอม
“แล้วทำไมไซน์มาอยู่ที่นี่ล่ะครับ ไม่ไปทำงานเหรอ”
มาสะถามกลับก่อนขยับรับสัมผัสจากฝ่ามือแกร่งที่แสนอบอุ่นอย่างไม่รู้ตัว
“ก็ที่นี่แหละห้องทำงานของฉัน” ไซน์ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นสีหน้างงๆของมาสะ
ก่อนอธิบายเพิ่ม
“ฉันทำงานเป็นอาจารย์ห้องพยาบาลคนใหม่ของที่นี่น่ะ
ต่อไปนี้จะได้อยู่กับมาสะบ่อยขึ้นไง” ไซน์แอบหยอกเล็กๆในตอนท้าย
แต่มาสะเพียงแค่พยักหน้ารับเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเขายังตื่นไม่ค่อยเต็มตานัก
ไซน์ขยับมือที่ลูบศีรษะของมาสะให้เลื่อนลงมาตามใบหน้า
ก่อนจะลูบไล้ใบหน้าของมาสะอย่างเผลอไผล
ซึ่งการกระทำนั้นสร้างความแปลกใจให้มาสะอย่างมาก
และเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาสีม่วงคู่นั้น เขาก็ได้เห็น
ประกายของความห่วงใยที่ล้นเหลือ และ ความเศร้า? พอเห็นแบบนั้นแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหห้วงความคิด
ความคิดที่สร้างความตระหนกให้แก่ตัวเองไม่น้อย
มาสะโพล่งถามความคิดนั้นออกไปแทบในทันที
“เวลาของผมใกล้หมดแล้วใช่มั้ยครับ”
ไซน์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนมือออกจากใบหน้าของมาสะ
มาสะละสายตาจากดวงตาของไซน์ก่อนจะมองตามมือข้างนั้นไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่ออยู่ๆไซน์ก็โน้มตัวเข้ามากอดเขา
“ใช่แล้ว เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว”
ไซน์กระซิบบอกกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นยิ่งขึ้น
มาสะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นเบาๆจากเจ้าของอ้อมกอด
มาสะกอดไซน์ตอบราวกับต้องการให้กำลังใจไซน์และตัวของเขาเอง
ตลอดเวลาเกือบเดือนที่อยู่กับไซน์มา
เขาไม่เคยเห็นไซน์แสดงความอ่อนแอแบบนี้ออกมาให้เห็นสักครั้ง
ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ขึ้นในใจของมาสะอีกครั้ง
เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ
แต่สิ่งเดียวที่เขาบอกได้ตอนนี้คือ เขาอยากให้ไซน์กลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิมมากกว่า
“อีกนานแค่ไหนครับ” มาสะตัดสินใจถามออกไปเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
ไซน์ขยับตัวเล็กน้อย
และจัดการจัดท่าให้เขาสามารถนั่งได้อย่างสบายบนเตียงโดนที่เจ้าตัวก็ยังคงกอดมาสะอยู่ไม่ยอมปล่อย
“อีกไม่เกิน5วัน...”
“แล้วถ้าให้ผมกินของเหลวแปลกๆที่ไซน์ชอบแอบมาป้อนผมล่ะครับ” ก่อนที่ไซน์จะพูดเสร็จ
มาสะก็ถามแทรกขึ้นมา ทำให้ไซน์แปลกใจนิดหน่อยที่มาสะรู้ว่าเขาแอบให้เลือด
“5วันนี้รวมเวลาที่มาสะต้องดื่มเลือดฉันทุกวันแล้ว”
ไซน์ตอบเสียงเรียบก่อนรอดูปฏิกิริยาของร่างบาง
“เอ่อ...ที่ให้ผมกินพักหลังมานี่คือเลือดของไซน์เหรอ!?” มาสะถามอย่างตกใจก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมถึงเป็นเลือดล่ะ” ในลำคอของเขายังมีรสชาติของมันติดค้างอยู่เลย
“เลือดของปิศาจชั้นสูงจะมีพลังชีวิตสะสมอยู่ค่อนข้างมาก บวกกับการร่ายเวทเล็กน้อย
จะทำให้มาสะตื่นเต็มตาไปได้พักใหญ่ๆ แต่ก็เพิ่มเวลาให้กับเธอได้ไม่มากนัก 5วันนี้เจ้าคุโรคาวะบอกว่ารวมเวลาให้เลือดไปแล้ว หมอนั่นมีเชื้อสายยมทูตอยู่
ไม่น่าจะคำนวนเรื่องพวกนี้พลาดหรอก”
“เอ๋ อาจารย์คุโรคาวะน่ะเหรอ.....ไม่น่าเชื่อ” ไม่อยากเชื่อเลยว่าอาจารย์ประจำชั้นที่ดูใจดีคนนั้นเป็นถึงยมทูต
“อืม แต่ก็เป็นแค่ลูกครึ่งล่ะนะ อย่าเพิ่งออกนอกเรื่องสิ
มาว่าเรื่องของเราต่อดีกว่า มาสะมีเวลา4วันในการตัดสินใจ”
ไซน์หยุดพูดก่อนสูดหายใจเข้าช้าๆ พยายามตั้งสติ ก่อนจะสบตามาสะอีกครั้งแล้วจึงพูดต่อ
“เวลา4วันกับการเลือกว่าจะมีชีวิตอยู่เคียงข้างฉัน
หรือจะสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป” ทันทีที่ประโยคหลังหลุดออกมาจากปาก
ดวงตาสีม่วงสวยก็ฉายแววเศร้าโศก
ทั้งยังมีแวววิงวอนราวกับจะขอร้องให้มาสะอยู่เคียงข้าง
“แล้วอีก1วันล่ะครับ”
“เผื่อว่ามาสะเลือกอยู่กับฉัน เราจะได้มีเวลาทำพิธีอย่างเพียงพอ
แต่ถ้าเลือกอย่างหลัง วันสุดท้ายฉันจะตามใจเธอทุกอย่าง ถือเป็นของขวัญจากฉัน”
ไซน์กล่าวก่อนค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตอย่างแผ่วเบา
“ผมจะเก็บไปคิดนะครับ” มาสะตอบก่อบซบหน้าลงกับไหล่ของไซน์อย่างต้องการที่พึ่ง
แต่ก็ได้ไม่นานเมื่ออยู่ดีๆไซน์ก็ดันให้เขาลงไปนอน
จุมพิตเบาๆอีกครั้งก่อนพูดกับเขาว่า
“นอนเอาแรงเถอะที่ง่วงแบบนี้ก็เพราะร่างกายต้องการเก็บรักษาพลังงานไว้ให้มากที่สุด
ใช้เวลานี้ทบทวนเรื่องทั้งหมดดูอีกทีนะ” ไซน์พูดเพียงแค่นั้น
แล้วจัดการห่มผ้าให้เขาก่อนดึงม่านกั้นเตียงคนไข้ให้ปิดลง ขณะที่มาสะกำลังครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดจนใกล้จะหลับไปนั้น
เสียงประตูห้องพยาบาลก็เปิดออก พร้อมกับเสียงพูดคุยเบาๆของนักเรียนและไซน์
ที่เป็นเหมือนเสียงขับกล่อมมาสะให้หลับไปพร้อมกับความคิดโต้แย้งในหัว
หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก หรือจะรับข้อเสนอของไซน์
แล้วมีชีวิตอยู่โดยมีไซน์อยู่เคียงข้าง....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น